ดริปวิตามิน IV Drip ฟื้นฟูผิวใสเร่งด่วนได้จริงไหม?

  • 30/08/2024
  • 1

ดริปวิตามิน IV Drip ฟื้นฟูผิวใสเร่งด่วนได้จริงไหม?

ผิวสวย กระจ่างใส สุขภาพดี เป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา แต่กว่าจะได้มาก็ต้องอาศัยการดูแลตัวเองทั้งภายในและภายนอกอย่างสม่ำเสมอ แล้วคนที่ไม่มีเวลา หรืออยากฟื้นฟูผิวแบบเร่งด่วนจะทำอย่างไรได้บ้าง ? ทางลัดง่ายๆ ก็คือการทำ IV Drip หรือดริปวิตามิน ซึ่งเป็นนวัตกรรมให้ผลในการฟื้นบำรุงผิวได้รวดเร็วทันใจ สำหรับใครที่สงสัยว่า IV Drip คืออะไร ? ทำแล้วได้ผลจริงไหม ? ต้องทำบ่อยแค่ไหน ? บทความนี้รวมทุกเรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับการทำ IV Drip มาฝาก ตามไปอ่านกันได้เลย

IV Drip วิตามิน คืออะไร

การทำ IV Drip หรือเรียกอีกอย่างว่า การดริปวิตามิน เป็นการนำสารอาหารที่มีประโยชน์เข้าสู่ร่างกายผ่านทางหลอดเลือด ร่างกายจึงสามารถดูดซึมไปใช้งานได้ง่าย และเต็ม 100% อีกทั้งยังมีความเข้มข้นและปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการ จึงทำให้เห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ชัดเจน 

สาร IV Drip วิตามิน ประกอบด้วยอะไรบ้าง

Vitamin IV Drip มีส่วนประกอบที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับสูตรของแต่ละคลินิกว่ามีการผสมวิตามิน แร่ธาตุ หรือสารอาหารอะไรลงไปบ้าง และสัดส่วนปริมาณเท่าไหร่ ซึ่งก็จะส่งผลให้ IV Drip ราคาต่างกันไปด้วย บางคลินิกอาจจะมีให้เลือกหลายสูตร เพื่อเน้นการบำรุงเฉพาะด้าน เช่น สูตรเพื่อผิวขาวกระจ่างใส, สูตรช่วยชะลอวัย, สูตรเพิ่มความสดชื่น, สูตรช่วยขจัดสารพิษ เป็นต้น แต่โดยรวมแล้วส่วนประกอบที่นิยมใช้กัน มีดังนี้

 

  • วิตามินซี
  • วิตามินบีรวม
  • NAC (N-Acetyl Cysteine)
  • กรดอะมิโน
  • แมกนีเซียม
  • แคลเซียม
  • Coenzyme Q10
  • สารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ

 

สำหรับคนที่ต้องการเน้นเรื่องผิวใส ควรเลือกสูตร Vitamin IV Drip ที่มีส่วนประกอบของวิตามินซี, NAC และสารต้านอนุมูลอิสระ เพราะส่วนประกอบเหล่านี้มี ประสิทธิภาพในการฟื้นฟูบำรุงและปกป้องผิว ช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใส เปล่งปลั่ง และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวนุ่มเด้ง ดูสดใส มีชีวิตชีวา

 IV Drip ช่วยอะไรได้บ้าง

Vitamin IV Drip ไม่เพียงแต่จะช่วยเรื่องผิวเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายด้าน ดังนี้

  • ช่วยฟื้นบำรุงผิวที่หมองคล้ำ ดูโทรม ให้ขาวกระจ่างใส 
  • ช่วยลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
  • ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว
  • ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวนุ่มลื่น ชุ่มชื้น  
  • ช่วยฟื้นฟูอาการอ่อนล้า อ่อนเพลีย ทำให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า
  • ช่วยเพิ่มสารอาหารที่มีประโยชน์ให้ร่างกาย
  • ช่วยเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ลดการเกิดโรคหวัด ภูมิแพ้ 
  • ช่วยเสริมการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ

 ดริปวิตามิน เหมาะกับใคร

  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ ไม่สดใส และต้องการฟื้นบำรุงผิวอย่างเร่งด่วน 
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น
  • ผู้ที่ต้องการบำรุงผิวจากภายในสู่ภายนอก
  • ผู้ที่มีเวลาน้อย ทำงานหนัก ไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเอง
  • ผู้ที่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูร่างกายหลังป่วย 

ดริปวิตามิน ไม่เหมาะกับใคร

แม้ว่าการดริปวิตามินจะเป็นหัตถการที่ให้ผลดี มีความปลอดภัยสูง แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในคนบางกลุ่ม เพราะฉะนั้นก่อนจะค้นหา IV Therapies Near Me ลองมาสำรวจดูก่อนว่าตนเองอยู่ในกลุ่มคนที่ควรหลีกเลี่ยงการดริปวิตามินหรือไม่ เช่น

 

  • หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคไต, โรคตับ, โรคหัวใจ, โรคเบาหวาน
  • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน
  • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต
  • ผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ G6PD 
  • ผู้ที่มีภาวะวิตามินหรือแร่ธาตุเกิน
  • ผู้ที่เคยมีประวัติแพ้วิตามิน

 

หากอยู่ในกลุ่มเหล่านี้ หรือมียาที่ต้องรับประทานประจำ ควรปรึกษาแพทย์ และแจ้งให้แพทย์ทราบทุกครั้งก่อนเข้ารับบริการ

ดริปวิตามิน มีวิธีเติมกี่แบบ

 

การทำ IV Drip หรือดริปวิตามินผิวสามารถทำได้ 2 วิธี คือ

  • ดริปวิตามินผ่านสายน้ำเกลือ 

คล้ายกับการให้น้ำเกลือทั่วไป แพทย์จะทำการดันเข็มให้น้ำเกลือเข้าหลอดเลือดดำ จากนั้นจึงปล่อยให้สารอาหารในถุงน้ำเกลือไหลเข้าสู่ร่างกายอย่างช้าๆ โดยปรับอัตราการหยดให้เหมาะสม ใช้เวลาประมาณครั้งละ 30-60 นาที

  • เติมวิตามินผ่านไซริงค์ 

เป็นการเติมวิตามินเข้าสู่เส้นเลือดดำโดยตรงผ่านทางเข็มเติมยา นิยมใช้เติมบริเวณใบหน้า เพื่อเน้นการบำรุงที่ผิวหน้าโดยเฉพาะ 

ดริปวิตามิน อันตรายไหม

โดยทั่วไปการทำ IV Drip ที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจาก อย. ไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย เนื่องจากวิตามินเหล่านี้เป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่แล้ว แต่ต้องระวังการใช้บริการในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือผู้ที่เติมไม่ใช่แพทย์ อาจมีการนำตัวยาที่ไม่ได้รับอนุญาตมาผสม เสี่ยงที่จะเกิดอันตรายหรือติดเชื้อได้ 

สรุปการดริปวิตามินทำบ่อยแค่ไหนถึงจะเห็นผล

IV Drip ควรทำอย่างต่อเนื่อง โดยเว้นระยะห่างสัปดาห์ละ 1 ครั้งในช่วง 3-5 สัปดาห์แรก จะเริ่มเห็นผลได้อย่างชัดเจนว่าผิวพรรณดีขึ้น จากนั้นจึงเว้นระยะให้ห่างขึ้นเป็น 2 สัปดาห์ครั้ง หรือเดือนละครั้ง จะช่วยรักษาผลลัพธ์ให้คงอยู่ยาวนาน 

หากใครกำลังมองหา IV Therapies Near Me ที่ AES CLASS CLINIC มีให้บริการถึง 18 สาขา ทำเลดี เดินทางสะดวก  ใช้วิตามินผิวนำเข้าจากต่างประเทศ อีกทั้งยังมีแพทย์มากประสบการณ์ประจำสาขาคอยให้คำแนะนำ และออกแบบการรักษาแบบเฉพาะบุคคลอย่างเหมาะสม เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด พร้อม IV Drip ราคาโปรโมชั่นแพ็กเกจสุดคุ้มที่ช่วยให้คุณมีผิวสวยได้แบบไม่ต้องจ่ายแพง แอดไลน์มาได้เลยที่ @aesclassclinic

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ IV Drip

IV drip มีกี่สูตร

การให้สารอาหารและยาผ่านทาง IV drip มีหลายสูตร ซึ่งแต่ละสูตรจะมีส่วนประกอบที่แตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน ดังนี้

Normal Saline Solution (0.9% Sodium Chloride)

  • ใช้ในการรักษาภาวะขาดน้ำและเกลือแร่

Lactated Ringer’s Solution

  • ประกอบด้วยน้ำ, เกลือแร่, และ lactate ใช้ในการรักษาภาวะขาดน้ำและเกลือแร่และในการผ่าตัด

Dextrose Solution (5%, 10%)

  • ใช้ในการให้พลังงานและการบำรุงร่างกาย

Total Parenteral Nutrition (TPN)

  • เป็นการให้สารอาหารครบถ้วนผ่านทาง IV สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ทางปาก

Vitamin and Mineral Infusions

  • เช่น วิตามินซี, บีคอมเพล็กซ์, แมกนีเซียม เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและบำรุงร่างกาย

Antibiotic Infusions

  • ใช้ในการให้ยาปฏิชีวนะในกรณีที่มีการติดเชื้อ

Electrolyte Solutions

  • เช่น โซเดียม, โพแทสเซียม เพื่อรักษาสมดุลเกลือแร่ในร่างกาย

IV drip อันตรายไหม

การให้สารอาหารและยาผ่านทาง IV drip หรือการให้น้ำเกลือถือว่าเป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่มีความปลอดภัยสูงหากทำโดยแพทย์หรือพยาบาลที่มีความมากฝีมือ แต่ยังคงมีความเสี่ยงและอันตรายหากไม่ดูแลอย่างถูกวิธี เช่น การติดเชื้อที่บริเวณที่เจาะเข็มหรือการติดเชื้อในกระแสเลือดที่เกิดจากการไม่รักษาความสะอาด หรือการใช้เครื่องมือที่ไม่สะอาด ดังนั้น การให้ IV drip จึงควรอยู่ภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์และในสภาพแวดล้อมที่มีความสะอาดและปลอดเชื้อ

IV drip นานไหม

ระยะเวลาของการให้ IV drip ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ชนิดของสารหรือยาที่ให้ วัตถุประสงค์ในการรักษา และสภาพร่างกายของผู้ป่วย เช่น

  1. การให้สารน้ำเกลือเพื่อรักษาภาวะขาดน้ำ อาจใช้เวลาประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง
  2. การให้ยาปฏิชีวนะบางชนิดผ่านทาง IV drip อาจใช้เวลาประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมงต่อครั้ง
  3. การให้สารอาหารครบถ้วน (Total Parenteral Nutrition หรือ TPN) อาจต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อวัน
  4. การให้วิตามินและแร่ธาตุเสริม อาจใช้เวลาประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง

ดริปวิตามินซี ช่วยอะไร

การดริปวิตามินซีช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคและการติดเชื้อได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยในการสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นโปรตีนที่สำคัญต่อการรักษาและฟื้นฟูเนื้อเยื่อในร่างกาย ทำให้ผิวพรรณดูสดใสและแข็งแรงขึ้น สามารถต้านอนุมูลอิสระ และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ ทำให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและมีสุขภาพที่ดีขึ้น