Radiesse คืออะไร กระตุ้นคอลลาเจน ลดริ้วรอยให้ผิวจริงไหม ดีอย่างไร
- 21/03/2024
- 132
เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายของคนเราจะผลิตคอลลาเจนได้ลดลง สิ่งนี้เองที่เป็นสาเหตุสำคัญของความหย่อนคล้อย และปัญหาริ้วรอยแห่งวัยที่ทำให้หลายคนกังวลใจ คงจะดีไม่น้อยหากเราสามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนได้มากเหมือนก่อน Radiesse จึงเป็นหัตถการที่ถูกคิดค้นมาเพื่อตอบโจทย์คนกลุ่มนี้โดยเฉพาะ แต่เชื่อว่าคงมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังสงสัยว่า Radiesse คืออะไร และจะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนได้จริงไหม แตกต่างจากโปรแกรม Sculptra อย่างไร บทความนี้จะมาตอบทุกข้อสงสัยให้หายข้องใจ ตามไปดูกันเลย
Radiesse คืออะไร? Radiesse ออกฤทธิ์อย่างไร?
Radiesse คือการฉีดสารเติมเต็ม CaHA หรือชื่อเต็มๆ ก็คือ Calcium Hydroxylapatite เป็นสารธรรมชาติที่สามารถพบได้ในร่างกายมนุษย์ เมื่อฉีดเข้าไปในร่างกายจะไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างสารจำเป็น 5 อย่าง คือ Collagen type 1, Collagen type 3, Elastin, Proteoglycan และ Angiogenesis ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่มาทดแทนคอลลาเจนเดิมที่เสื่อมสภาพ
ช่วยเติมเต็มริ้วรอยร่องลึก ทำให้ผิวดูเรียบเนียน อ่อนเยาว์ และยังทำหน้าที่เป็นเสมือนเสาเข็มให้เซลล์ผิวใหม่ได้มีที่ยึดเกาะ ทำให้ผิวมีโครงสร้างที่แข็งแรง กระชับ เต่งตึงมากยิ่งขึ้น
แล้ว Sculptra กับ Radiesse ต่างกันอย่างไร
หากเปรียบเทียบระหว่าง Radiesse vs Scuptra สิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนคือ ชนิดของสารที่ใช้ จึงทำงานแตกต่างกัน ดังนี้
Radiesse คืออะไร
Radiesse เป็นการฉีดสารเติมเต็มที่มีส่วนประกอบหลักคือ CaHA ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการสร้าง Collagen type 1 สูงถึง 150% รวมถึงกระตุ้นให้เกิดการสร้าง Collagen type 3 ที่จะทำงานร่วมกันกับคอลลาเจน Type1 และอีลาสติน จึงเปรียบเสมือนการติดสปริงให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดใหม่ที่จะนำพาสารอาหารมาหล่อเลี้ยงผิว จึงทำให้ผิวสุขภาพดี สดใสอมชมพู ดูมีเลือดฝาด หลังการรักษาจะอยู่ได้นาน 1-2 ปี
Scuptra คืออะไร
Sculptra ใช้เทคโนโลยี Skin Sculpting Solution หรืออนุภาค PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ฉีดเข้าไปในร่างกายเพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน โดยจะเน้นไปที่การกระตุ้นคอลลาเจน Type 1 ที่ช่วยเรื่องความยืดหยุ่นของผิวเป็นหลัก จึงเหมาะสำหรับวัย 20 ขึ้นไป ที่ร่างกายเริ่มผลิตคอลลาเจนชนิดนี้ได้น้อยลง ผิวจะค่อยๆ กระชับและแข็งแรงขึ้น เห็นผลลัพธ์ช้ากว่าแต่ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่า เฉลี่ยจะอยู่ได้ประมาณ 2 ปี
Radiesse ต่างจาก ฟิลเลอร์ อย่างไร
Radiesse เป็นหัตถการที่ช่วยลดปัญหาริ้วรอยได้เหมือนกัน และสารที่ใช้ฉีดก็เป็นสารที่พบได้ในร่างกายทั้งคู่ จึงมีความปลอดภัยสูง แต่จะต่างกันตรงที่ฟิลเลอร์เป็นการฉีดกรดไฮยาลูโลนิก หรือ HA เข้าไปเติมเต็มในส่วนที่ต้องการ จึงให้ผลในการลดเลือนริ้วรอยได้หลังทำ และสามารถใช้ปรับรูปหน้าได้ด้วย อยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือนเท่านั้น สามารถเติมใหม่ได้เรื่อยๆ
ในขณะที่ Radiesse เป็นการฉีดสาร CaHA เข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน สามารถเห็นผลได้หลังทำเหมือนกัน แต่จะเห็นผลชัดเจนจริงๆ ประมาณ 3-4 สัปดาห์ ข้อดีคือ Radiesse จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว และผลลัพธ์จะอยู่ได้นาน เฉลี่ยประมาณ 1 -2 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังทำของแต่ละบุคคล
Radiesse มีกี่แบบ? Radiesse เหมาะกับใครบ้าง?
Radiesse มีเพียงแบบเดียว และเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาดังต่อไปนี้
- ผู้ที่อายุ 25 ปีขึ้นไป ร่างกายผลิตคอลลาเจนลดลง ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ
- ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ร่องลึก บริเวณใบหน้า
- ผู้ที่มีปัญหาผิวเหี่ยวย่น เช่น คอเหี่ยว มือเหี่ยว
- ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น
- ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง
- ผู้ที่ต้องการเพิ่มความกระชับของกรอบหน้า
- ผู้ที่มีปัญหาผิวไม่เรียบเนียนสม่ำเสมอ
จุดเด่นและผลลัพธ์ที่ได้ของ Radiesse คืออะไร
จุดเด่นของ Radiesse คือเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัย เพราะเป็นสารชนิดเดียวกับที่พบในร่างกายมนุษย์ และสามารถสลายไปได้เองตามธรรมชาติ จึงลดความเสี่ยงในการแพ้ หรือตกค้างสะสมในร่างกาย อีกทั้งยังได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล และมีงานวิจัยรองรับมากกว่า 245 ชิ้นว่า Radiesse ให้ผลลัพธ์ทั้งเรื่องการยกกระชับ ลดริ้วรอย และปรับสภาพผิวให้แข็งแรง แถมยังกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ในระยะยาว จึงช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่ในอนาคตได้อีกด้วย
นอกจากนี้การทำ Radiesse ก็สะดวกสบายมาก ใช้เวลาไม่นาน หลังทำสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น ไม่มีรอยแผล สามารถเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงได้หลังทำ และอยู่ได้นานถึง 1-2 ปีเลยทีเดียว
Radiesse ช่วยอะไร Radiesse ฉีดตรงไหนได้บ้าง
Radiesse สามารถฉีดเพื่อช่วยเพิ่มความกระชับ เพิ่มวอลลุ่มให้ผิวดูอิ่มฟู ลดปัญหาผิวหย่อนคล้อย ลดเลือนริ้วรอยแห่งวัยและความเหี่ยวย่นได้หลายบริเวณ ไม่เพียงแต่เฉพาะใบหน้าเท่านั้น แต่ยังสามารถฉีดบริเวณลำคอ หลังมือ หรือบริเวณเนินอกสำหรับผู้หญิงได้ด้วย
Radiesse ราคาเท่าไหร่ อัปเดต 2567
Radiesse ราคาจะขึ้นอยู่กับปัญหาสภาพผิวของผู้ที่ทำ Radiesse และสามารถปรึกษากับแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อวิเคราะห์และออกแบบการรักษาในราคาที่เหมาะสมได้ด้วย
หากกำลังมองหาคลินิกทำ Radiesse ที่ได้มาตรฐาน ต้องที่ AES CLASS CLINIC เลยค่ะ เรามีทีมแพทย์ที่มีความชำนาญการ และประสบการณ์ยกกระชับ+รักษาผิว มากกว่า 10 ปี ที่นี่มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ มากมาย ช่วยแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด อีกทั้งยังมีอุปกรณ์ที่ทันสมัย สามารถรับคำปรึกษาเพื่อขอรับการวางแผนการรักษาได้เลย!
#tiktoker ช่อง @นัดกับหมอ มาดูแลผิวเพิ่มความมั่นใจ ด้วย #radiesse ผิวอิ่มฟูดูดีไม่ง้อฟิลเตอร์
ให้ผิวอิ่มฟู ดูเด็ก สดใส ด้วย RADIESSE
ปรึกษาปัญหาผิวฟรี! หรือสนใจโปรแกรม
สอบถามได้ที่ LINE
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Radiesse คืออะไร
Radiesse ฉีดกี่ครั้งเห็นผล
เมื่อฉีด Radiesse ก็เกิดผลลัพธ์ทันทีหลังเติม ผิวจะยกกระชับขึ้น และเริ่มเห็นผลชัดเจนขึ้นหลังจากการเติม 3-4 สัปดาห์ เนื่องจาก CaHA จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวหนัง เมื่อคอลลาเจนเพิ่มขึ้น ผิวก็จะดูเต่งตึง กระชับ และดูอ่อนเยาว์ขึ้น ผลลัพธ์ในช่วงนี้จะอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
Radiesse อยู่ได้นานแค่ไหน
โดยปกติแล้วโปรแกรม Radiesse สามารถอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ตำแหน่ง ปริมาณ สภาพผิวของแต่ละบุคคล และการดูแลตัวเองหลังจากเติม และสลายได้เองตามธรรมชาติ สามารถกลับมาเติมใหม่ได้
Radiesse ฉีดตรงไหนได้บ้าง
Radiesse สามารถเติมได้ทั่วบริเวณใบหน้า และบริเวณหลังมือ โดยจุดที่นิยมเติมได้แก่ ร่องแก้ม, ร่องน้ำหมาก, หน้าแก้ม, กรอบหน้า, ขมับ, ร่องคาง และหลังมือ เป็นต้น ทั้งนี้สามารถประเมินปัญหาผิวกับแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อออกแบบการรักษาได้อย่างตรงจุด
Radiesse อันตรายไหม
ที่ AES CLASS CLINIC เราให้บริการ Radiesse ได้ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา (FDA) และองค์การอาหารและยาของประเทศไทย จึงมั่นใจได้ว่าไม่อันตราย อีกทั้ง Radiesse เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนชนิด CaHA สารธรรมชาติที่พบได้ในร่างกายมนุษย์ เมื่อฉีดไปแล้วสามารถสลายได้เอง และเติมซ้ำได้ ปลอดภัย
Radiesse ประเทศอะไรเป็นผู้ผลิต
Radiesse พัฒนาขึ้นโดยบริษัท Merz Pharmaceuticals ในประเทศเยอรมนี ซึ่งได้รับการอนุมัติให้ใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 2004 มีงานวิจัยรองรับมากกว่า 245 ฉบับ
Tags