รอยสิวเป็นปัญหาที่ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่มั่นใจในสภาพผิวของตนเอง การเข้าใจประเภทและสาเหตุของรอยสิวรวมถึงการดูแลและรักษาที่เหมาะสมจะช่วยให้สามารถลดรอยเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใส่ใจในการดูแลผิวพรรณเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผิวสวยและไม่เกิดรอยสิวในอนาคต เราได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลรอยสิว วิธีลดรอยสิว ด้วย Pico Laser ที่มีประสิทธิภาพและทำได้จริง

รอยสิวหรือที่เราเรียกกันว่า “รอยแผลเป็นจากสิว” เป็นปัญหาผิวพรรณที่เกิดขึ้นหลังจากการเกิดสิว โดยที่ผิวหนังจะมีร่องรอยหรือจุดหมองคล้ำที่เกิดจากการอักเสบของสิว รอยเหล่านี้อาจจะเกิดจากการสัมผัสหรือบีบสิวทำให้เกิดรอยแผลเป็นที่มักจะใช้เวลานานในการหายไป

รอยสิว เกิดจากอะไรได้บ้าง?

สำหรับรอยสิวนั้น เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตประจำวัน การดูแลผิว หรือสภาพผิวของแต่ละบุคคล สรุปได้ว่ารอยสิวสามารถเกิดขึ้นได้จากปัจจัยอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น

• การบีบหรือกดสิว ซึ่งพฤติกรรมนี้จะเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อเซลล์ในบริเวณที่เกิดสิวอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็น
• การอักเสบ สิวอักเสบที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดการอักเสบรุนแรง ซึ่งสามารถทำลายเซลล์ที่สำคัญและทำให้เกิดรอยได้
• พันธุกรรม บางคนอาจมีแนวโน้มที่จะเกิดรอยสิวเนื่องจากลักษณะผิวหรือพันธุกรรม
• การดูแลผิวผิดวิธี เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสมหรือการไม่รักษาความสะอาดของผิวก็อาจทำให้เกิดปัญหารอยสิว

1. รอยแดง (Post-Inflammatory Erythema)

รอยแดงนี้เกิดขึ้นเมื่อสิวยังคงมีการอักเสบหรือมีการกระตุ้นจากสิว ทำให้หลอดเลือดใต้ผิวเปลี่ยนสี การรักษามักใช้เวลาสั้นกว่ารอยแผลเป็นประเภทอื่นๆ

2. รอยคล้ำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation)

เป็นรอยที่มีสีเข้มคล้ำกว่าผิวปกติ มักเกิดขึ้นในผู้ที่มีผิวคล้ำ หรือมีการตอบสนองผิวที่ไวต่อการอักเสบ รูปลักษณ์จะคล้ายกับการถูกแดดเผา แต่มีแนวโน้มที่จะหายยากกว่า

3. แผลเป็นนูน (Hypertrophic Scars)

แผลเป็นนูนเป็นการตอบสนองของผิวที่เกิดจากการอักเสบที่รุนแรง ซึ่งทำให้เกิดเนื้อเยื่อผิวด้านบนที่หนาขึ้น

4. แผลเป็นหลุม (Atrophic Scars)

รอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นจะมีลักษณะเป็นหลุมหรือการยุบตัว ซึ่งอาจเกิดจากการขาดเนื้อเยื่อในจุดที่เกิดสิวนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิวที่มีอาการรุนแรง

ในปัจจุบันมีวิธีรักษารอยสิวได้หลากหลายวิธี ทั้งการรักษาด้วยตนเอง และสามารถเข้ารับบริการกับคลินิกผิวโดยเฉพาะ เราได้รวมวิธีรักษารอยดําจากสิวเร็วที่สุด และรักษาได้เอง

1. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ช่วยฟื้นฟูผิว

AHA/BHA

Alpha Hydroxy Acids (AHA) และ Beta Hydroxy Acids (BHA) เป็นสารที่ช่วยเสริมสร้างการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ทำให้รอยด่างดำจางลง โดย AHA มักใช้สำหรับผิวแห้งและมีริ้วรอย ขณะที่ BHA จะเหมาะกับผิวมัน

Niacinamide

Niacinamide เป็นสารที่มีคุณสมบัติช่วยกระชับผิว ลดการอักเสบ และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ อีกทั้งยังช่วยลดการผลิตน้ำมันในรูขุมขน ช่วยให้สิวลดน้อยลงและรอยสิวจางเร็วขึ้น

Vitamin C

วิตามิน C เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และช่วยให้ริ้วรอยและรอยสิวจางลงอย่างรวดเร็ว

2. เลเซอร์และการรักษาโดยแพทย์ผู้ชำนาญการ

1. หลีกเลี่ยงการบีบสิว

คนทั่วไปอาจคิดว่าการมีสิวเราต้องบีบ ถึงจะช่วยให้สิวหายเร็ว ซึ่งแท้จริงแล้ว การทำเช่นนี้สามารถลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับผิวและเกิดเป็นรอยสิวที่หายยากได้

2. ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม

เลือกหรือพิจารณาใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารช่วยรักษาแผลเป็น เช่น วิตามินซี หรือกรดไฮยาลูโรนิก

3. ทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน

รอยสิวสามารถเข้มขึ้นจากการโดนแสงแดด การใช้ครีมกันแดดจะช่วยปกป้องผิวได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

4. พบแพทย์ผิวหนังหรือไปคลินิกรักษาผิว

หากรอยสิวยังคงมีอยู่หรือลุกลาม อาจจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาอย่างเหมาะสม และช่วยดูแลผิวอย่างต่อเนื่องได้

ถ้าคุณกำลังมองหาคลินิกที่มีประสบการณ์ในการรักษารอยสิวและให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน AES CLASS CLINIC เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่รวมรีวิวการรักษารอยสิวไว้มากมาย มีเลเซอร์ PicoSure ซึ่งเป็นเลเซอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดรอยสิวและฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน นอกจากนี้ AES CLASS CLINIC ยังมีบริการปรึกษาและประเมินสภาพผิวอย่างละเอียดเพื่อเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล ทำให้มั่นใจได้ว่าผลลัพธ์ที่ได้จะมีความปลอดภัยและตรงตามความต้องการของผู้รับบริการ