Sculptra คืออะไร สารกระตุ้นคอลลาเจน ดีไหม
ราคาเท่าไหร่ ทำที่ไหนดี?

เมื่ออายุมากขึ้น ผิวพรรณและความอ่อนเยาว์ก็โรยราลง ดังนั้นสิ่งที่จะเสื่อมตามมานั่นคือคอลลาเจน (Collagen) คอลลาเจนนับว่ามีบทบาทสำคัญที่ช่วยดูแลผิวของเรา ซึ่งคอลลาเจนจะเริ่มลดลงตั้งแต่อายุ 20 ปี และจะลดลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเราอายุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากไม่หาวิธีดูแลรักษาคอลลาเจนที่ดีพอ

และสิ่งที่จะช่วยคงความอ่อนวัย และรักษาคอลลาเจนในร่างกายของเรานั่นคือทรีทเม้นท์ Sculptra เป็นอีกความก้าวหน้าในการยกกระชับและกระตุ้นคอลลาเจน โดยผลลัพธ์คงอยู่ได้ยาวนานถึง 25 เดือน ไม่เป็นอันตรายต่อผิว และร่างกาย อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Sculptra คืออะไร สารกระตุ้นคอลลาเจน ยอดนิยมจริงไหม?

Sculptra คือ อนุภาคของกรด Poly-L-Lactic ( โพลี-แอล-แลกติก ) หรือ PLLA คือสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อยู่ในกลุ่ม Collagen Biostimulator เป็นการเติมตัวยาให้ร่างกายเกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นเองตามกระบวนการธรรมชาติ ช่วยในการกระตุ้น Collagen Type 1 ได้สูงถึง 66.5% ปลอดภัย ไม่ตกค้างในร่างกาย หลังจากการฉีดไป 3 เดือน ทำให้ผิวกระชับ และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ฟื้นฟูผิวจากภายในอย่างล้ำลึก ช่วยย้อนวัยให้ผิวกลับไปดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

“หลังเติมจะเห็นความเปลี่ยนแปลงใน 3 สัปดาห์
เมื่อผ่านไป 3 เดือน คอลลาเจนจะเพิ่มขึ้นถึง +66.5%
ภายใน 12 เดือน ผิวยืดหยุ่นขึ้นและคุณภาพผิวโดยรวมดีขึ้น
ตามการเพิ่มขึ้นของระดับคอลลาเจน โดยผลลัพธ์อยู่นาน 25 เดือน

AES CLASS CLINIC เลือกใช้ Sculptra จาก Galderma

AES CLASS CLINIC เลือกใช้ Sculptra นำเข้าจากประเทศสวีเดน โดย บริษัท Galderma ประเทศไทย ซึ่ง Sculptra เป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตัวแรกของโลก และเป็นตัวเดียวที่ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย ที่ผ่านการรับรอง จาก US FDA ถูกใช้อย่างกว้างขวาง ภายใน 20 ปี ถูกใช้ใน 40 ประเทศทั่วโลก

Sculptra รีวิวจากลูกค้า

ที่ AES CLASS CLINIC มีการอัปเดตแพ็กเกจการทำ Sculptra ราคาสุดคุ้มเป็นประจำ ลูกค้าสามารถเลือก
แพ็กเกจการทำทรีทเม้นท์ผิวหน้าในราคาที่เหมาะสมกับปัญหาสุขภาพผิวได้เลย!

Sculptra

ที่ AES CLASS Clinic (เอสคลาสคลินิก)

ปรึกษาฟรี! พร้อมออกแบบการรักษาที่เหมาะกับคุณ

เพียงเพิ่มเพื่อนผ่านไลน์ และพิมพ์ “Sculptra”

Sculptra ช่วยอะไร ?

  • ช่วยฟื้นฟูและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึก ทำให้ผิวแน่นกระชับขึ้น
  • ลดความหย่อนคล้อยและริ้วรอย
  • ช่วยเติมเต็มความอิ่มฟูของใบหน้า ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
  • ช่วยปรับโครงหน้าให้เรียบเนียนและยกกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติในระยะยาว

หลักการทำงานของ Sculptra (สกัลป์ทรา)

การเติม Sculptra เข้าสู่ร่างกายจะถูกเติมเข้าสู่ผิวชั้นลึกใต้ผิวหนัง (Subcutaneous) ซึ่งผิวจะดูเติมเต็มขึ้นตั้งแต่หลังเติมเสร็จ หลังจากนั้น 2-3 วัน ส่วนประกอบต่างๆ จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และ Sculptra จะเริ่มกระตุ้นผ่านระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยดึงเซลล์ Macrophages มาล้อมรอบอนุภาค Sculptra จำนวนมาก และมีการส่งสัญญาณให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) เซลล์ต้นกำเนิดที่สร้างเส้นใยคอลลาเจน และเป็นส่วนประกอบหลักของโครงสร้างผิวหนัง เข้ามารวมตัวกันมากขึ้น จึงทำให้ผิวมีความแข็งแรงและยกกระชับโดยบริเวณที่เหมาะกับการเติม Sculptra จะเป็นบริเวณใบหน้า ได้แก่ ชั้นผิวหนังแท้ (Deep dermis) และชั้นใต้ผิวหนัง (Subcutaneous)

เมื่อเวลาผ่านไปอนุภาคของ Sculptra จะค่อยๆ หายไปเหลือเพียงเส้นใยคอลลาเจนที่มาสะสมแทนที่ และฟื้นฟูความแข็งแรงให้กับโครงสร้างของผิวหนังในระยะยาว

การเติม Sculptra เข้าสู่ร่างกายจะถูกเติมเข้าสู่ผิวชั้นลึกใต้ผิวหนัง (Subcutaneous) ซึ่งผิวจะดูเติมเต็มขึ้นตั้งแต่หลังเติมเสร็จ หลังจากนั้น 2-3 วัน ส่วนประกอบต่างๆ จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และ Sculptra จะเริ่มกระตุ้นผ่านระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยดึงเซลล์ Macrophages มาล้อมรอบอนุภาค Sculptra จำนวนมาก และมีการส่งสัญญาณให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) เซลล์ต้นกำเนิดที่สร้างเส้นใยคอลลาเจน และเป็นส่วนประกอบหลักของโครงสร้างผิวหนัง เข้ามารวมตัวกันมากขึ้น จึงทำให้ผิวมีความแข็งแรงและยกกระชับโดยบริเวณที่เหมาะกับการเติม Sculptra จะเป็นบริเวณใบหน้า ได้แก่ ชั้นผิวหนังแท้ (Deep dermis) และชั้นใต้ผิวหนัง (Subcutaneous)

ความแตกต่างระหว่าง Sculptra กับวิธีอื่น ๆ 

Sculptra เป็นเทคนิคการฟื้นฟูผิวที่มีความแตกต่างจากวิธีอื่น ๆ อย่างเด่นชัด เนื่องจาก Sculptra ไม่ใช่สารเติมเต็มแบบปกติที่ฉีดเข้าไปเพื่อเพิ่มปริมาณหรือเติมเต็มพื้นที่ผิวที่หย่อนคล้อยทันที แต่ Sculptra ทำงานโดยการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในผิวหนังอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ผลลัพธ์มีความเป็นธรรมชาติและยาวนานกว่า การฟื้นฟูที่เกิดขึ้นจาก Sculptra มักจะใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนกว่าจะเห็นผลชัดเจน ซึ่งแตกต่างจากสารเติมเต็มทั่วไปที่ให้ผลลัพธ์ในทันที นอกจากนี้ Sculptra ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงโครงสร้างผิวในระยะยาวและต้องการผลลัพธ์ที่ไม่ดูเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ฉับพลันมากนัก ทำให้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นธรรมชาติและความยั่งยืนในระยะยาว

Sculptra กับ ฟิลเลอร์ มีความต่างกันอย่างไร ?

Sculptra และฟิลเลอร์ต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งการทำงานและผลลัพธ์ที่ได้ ฟิลเลอร์ เป็นสารที่ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อเติมเต็มร่องลึกหรือเพิ่มปริมาตรในทันที เช่น ริ้วรอย ร่องแก้ม หรือเพิ่มความอิ่มเอิบให้กับริมฝีปาก ผลลัพธ์จากฟิลเลอร์จะเห็นได้ชัดเจนทันทีหลังฉีด และผลลัพธ์จะคงอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนที่สารจะถูกดูดซึมหรือสลายไป

ในทางกลับกัน Sculptra ไม่ใช่ฟิลเลอร์แบบที่เติมเต็มในทันที แต่เป็นสารที่กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนตามธรรมชาติของร่างกาย เมื่อฉีด Sculptra เข้าไปใต้ผิว มันจะค่อย ๆ กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผิวหนังมีความหนาแน่นและยืดหยุ่นมากขึ้น กระบวนการนี้ใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนในการแสดงผลลัพธ์ที่ชัดเจน และผลลัพธ์จะมีความยาวนานกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป เนื่องจากเป็นการฟื้นฟูจากภายใน

ดังนั้น ความแตกต่างหลักคือ ฟิลเลอร์ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วในทันที แต่จะคงอยู่ในระยะเวลาสั้นกว่า ส่วน Sculptra จะใช้เวลานานกว่าในการเห็นผล แต่ผลลัพธ์จะดูเป็นธรรมชาติและคงอยู่ได้นานกว่า เนื่องจากเป็นการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนของร่างกายเอง

Sculptra กับ เมโสหน้าใส มีความต่างกันอย่างไร ?

เมโสหน้าใส (Mesotherapy) เป็นการฉีดสารอาหาร วิตามิน หรือสารที่มีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิวโดยตรงเข้าสู่ผิวหนังชั้นกลาง เพื่อให้ผิวหน้าดูสดใส เปล่งปลั่ง และชุ่มชื้นในทันทีหลังจากการรักษา การทำเมโสหน้าใสมักจะให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว แต่ผลลัพธ์จะอยู่ในระยะเวลาที่สั้นกว่าการใช้ Sculptra และมักต้องทำซ้ำอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาความสว่างใสของผิว

แต่ Sculptra เป็นการฉีดสารที่ออกฤทธิ์ในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนภายในผิวหนัง ทำให้ผิวดูเต่งตึงและยืดหยุ่นมากขึ้นในระยะยาว และเป็นวิธีทำให้หน้าใสอีกวิธีหนึ่งที่คงผลลัพธ์ได้นาน ช่วยลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า ซึ่งสามารถทำควบคู่กับเมโสหน้าใสได้

Sculptra กับ Rejuran มีความต่างกันอย่างไร ?

Rejuran เป็นการฉีดสารโพลีดีออกซีไรโบนิวคลีโอไทด์ (Polydeoxyribonucleotide หรือ PDRN) ซึ่งสกัดจาก DNA ของปลาแซลมอน Rejuran มีจุดเด่นในการซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสียหาย กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ และเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวหนัง ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และมีสุขภาพดีขึ้น ผลลัพธ์จาก Rejuran มักจะเห็นผลเร็วกว่า Sculptra และเหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาผิวที่ต้องการการฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว เช่น ริ้วรอยบาง ๆ หรือความหย่อนคล้อยของผิว

แต่ Sculptra เป็นการฉีดสารโพลีแอลแลคติกแอซิด (Poly-L-lactic acid) ซึ่งทำหน้าที่กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนตามธรรมชาติของร่างกาย และมีโอกาสแพ้น้อย เมื่อฉีดเข้าไปใต้ผิวหนัง สารนี้จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นและความยืดหยุ่นของผิว ส่งผลให้ผิวดูเต่งตึงและเรียบเนียนมากขึ้น

Sculptra กับ Gouri มีความต่างกันอย่างไร ?

Sculptra และ Gouri เป็นเทคนิคการฟื้นฟูผิวที่ได้รับความนิยม แต่มีความแตกต่างกันที่ Sculptra ที่เป็นสาร PLLA ที่มาในรูปแบบผงและต้องนำไปละลายก่อนฉีด

Sculptra และ Gouri ต่างเป็นวิธีการที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูผิวโดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แต่ Sculptra ใช้สารโพลีแอลแลคติกแอซิดและให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่า ในขณะที่ Gouri ใช้สารโพลีแคพโรแลคโตน ซึ่งสามารถกระจายตัวได้ทั่วผิวหนังและให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและสม่ำเสมอมากขึ้น แต่ผลลัพธ์อาจอยู่ในระยะเวลาที่สั้นกว่า Sculptra

Sculptra กับ Exosome มีความต่างกันอย่างไร ?

Exosome เป็นวิธีการฟื้นฟูผิวที่ใช้เทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง โดย Exosomes เป็นอนุภาคขนาดเล็กที่ปล่อยออกมาจากเซลล์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสื่อสารระหว่างเซลล์ และเป็นตัวกลางในการส่งสารสำคัญ เช่น โปรตีนและกรดนิวคลีอิก ไปยังเซลล์อื่นๆ เพื่อกระตุ้นการซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ผิว เมื่อใช้ Exosomes ในการฟื้นฟูผิว มันจะช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหาย ลดการอักเสบ และกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ สดใส และมีสุขภาพดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ผลลัพธ์จาก Exosomes มักจะเห็นผลได้เร็วกว่า แต่ยังขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลและอาจต้องทำซ้ำเพื่อรักษาผลลัพธ์

ส่วน Sculptra เน้นการบำรุงในชั้นผิวลึก ช่วยให้ผิวแน่นกระชับ ลดความหย่อนคล้อย และทำให้ใบหน้าดูเต็มอิ่ม ยกกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

งานวิจัยและความพึงพอใจหลังเติม Sculptra

ผลลัพธ์หลังเติม Sculptra จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และทางคลินิกได้รับการพิสูจน์มาอย่างยาวนาน โดยมีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ระดับโลกมากกว่า 50 ฉบับ และมีผู้เติม Sculptra ทั่วโลก ซึ่งหลังเติม Sculptra ได้รับความพึงพอใจในระดับสูง 25 เดือนจากผู้ใช้จริง ดังนี้

  • 9 ใน 10 ราย พึงพอใจในผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
  • 8 ใน 10 ราย รู้สึกว่าการรักษามีความคุ้มค่า
  • 9 ใน 10 ราย แนะนำ Sculptra ให้เพื่อนลองทำ

งานวิจัยและความพึงพอใจหลังเติม Sculptra

สำหรับ Sculptra คือ อนุภาคของ PLLA ( Poly-L-Lactic ) ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม Collagen Biostimulation ช่วยเติมตัวยาให้ร่างกายเกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นเองตามธรรมชาติ ช่วยให้ผิวหน้ายกกระชับ ผิวแน่น อิ่มฟู ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 25 เดือน ทั้งนี้ข้อแตกต่างจากทรีทเม้นท์งานผิวอื่นๆ มีดังนี้

Morpheus8

Morpheus8 เป็นเทคโนโลยีฟูผิว ใช้คลื่น RF ผ่าน Gold Coated Micropins ช่วยให้ผิวฟูใส กระชับเรียบเนียน โดยไม่ต้องผ่าตัด ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1 ปี

Rejuran

Rejuran เป็นนวัตกรรมผิวโกลว์ใส จาก DNA ปลาแซลมอนธรรมชาติ ได้มาตรฐานจาก KFDA จากประเทศเกาหลีใต้ ช่วยแก้ปัญหาผิวไม่ละเอียด รูขุมขนกว้าง ผิวบอบบางหรือแพ้ง่าย มีรอยแดงและรอยคล้ำ ผิวไม่สดใส ผิวแห้งขาดความชุ่มชื้นให้ผิวแลดูสุขภาพดี ผิวสดใสเปล่งปลั่งจากภายใน โดยผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6 เดือน

Rejuran

หรือโปรแกรมฟิลเลอร์ คือ ประกอบไปด้วยสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic acid และ Glycerol ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มฟู โดยผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-9 เดือน

คอลลาเจนคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร ?

คอลลาเจน (Collagen) คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่พบมากในร่างกายมนุษย์ โดยเฉพาะในผิวหนัง กระดูก กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และเนื้อเยื่อต่าง ๆ คอลลาเจนทำหน้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของเนื้อเยื่อ ช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น แข็งแรง และเรียบเนียน นอกจากนี้ยังช่วยในการฟื้นฟูเซลล์และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอในร่างกาย

โดยคอลลาเจนแบ่งออกเป็น 5 ชนิดหลัก ๆ ตามหน้าที่และแหล่งที่พบในร่างกายดังนี้

  • คอลลาเจนชนิดที่ 1 (Type I Collagen) คอลลาเจนชนิดนี้เป็นชนิดที่พบมากที่สุดในร่างกายมนุษย์ คิดเป็นประมาณ 90% ของคอลลาเจนทั้งหมด พบมากในผิวหนัง กระดูก เส้นเอ็น และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของผิวหนัง ช่วยในการสมานแผลและลดริ้วรอย
  • คอลลาเจนชนิดที่ 2 (Type II Collagen) พบมากในกระดูกอ่อน ซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบหลักของกระดูกอ่อนและข้อต่อ ช่วยลดการเสียดสีของข้อต่อ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคข้อเสื่อมและอาการปวดข้อต่อ
  • คอลลาเจนชนิดที่ 3 (Type III Collagen) พบมากในผิวหนัง หลอดเลือด และอวัยวะภายในต่าง ๆ คอลลาเจนชนิดนี้มีส่วนช่วยในการบำรุงรักษาและฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง เช่น ผิวหนังและหลอดเลือด
  • คอลลาเจนชนิดที่ 4 (Type IV Collagen) พบมากในเนื้อเยื่อพื้นฐานที่อยู่ระหว่างชั้นของเซลล์และเนื้อเยื่อ เช่น ชั้นฐานของผิวหนัง (Basement membrane) คอลลาเจนชนิดนี้มีบทบาทสำคัญในการกรองสารอาหารและสารต่าง ๆ ที่เข้าสู่เนื้อเยื่อ
  • คอลลาเจนชนิดที่ 5 (Type V Collagen) พบในพื้นฐานของเซลล์ (Cell membrane) และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนโครงสร้างของเนื้อเยื่อและการสร้างเส้นใยคอลลาเจนชนิดที่ 1 และ 3 ซึ่งช่วยในการเสริมความแข็งแรงของผิวหนัง เส้นผม และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันอื่น ๆ

 

ทำไมเราต้อง เติมคอลลาเจน ให้ผิว?

สาเหตุที่เราต้องเติมคอลลาเจนให้ผิว เพราะคอลลาเจนเป็นหนึ่งในโปรตีนที่มีปริมาณมากที่สุดในร่างกาย คอลลาเจนสร้างขึ้นจากเซลล์ ‘ ไฟโบรบลาสต์ ’ ( Fibroblast ) มีความสำคัญต่อผิวในการช่วยคงความอ่อนเยาว์ เมื่อเราอายุ 20 ปีขึ้นไป ระดับคอลลาเจนในผิวจะเสื่อมสภาพ ความหนาแน่นของคอลลาเจนในผิวจะลดลง และการสร้างคอลลาเจนใหม่ทดแทนคอลลาเจนที่สูญเสียไปก็น้อยลงด้วย ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าคอลลาเจนในผิวของเราจะลดลงอย่างต่อเนื่องประมาณ 1% ต่อปี ตัวอย่างเช่น

  • เมื่ออายุ 35 ปี ผิวสูญเสียคอลลาเจนสูงถึง 15%
  • เมื่ออายุ 45 ปี ผิวสูญเสียคอลลาเจนสูงถึง 25%
  • เมื่ออายุ 55 ปี ผิวสูญเสียคอลลาเจนสูงถึง 35%

วิธีการเติมคอลลาเจนให้ผิว มีแบบไหนบ้าง

กินคอลลาเจน – วิธีมาตรฐานทั่วไป เพราะง่ายและสะดวก แต่คอลลาเจนจะถูกดูดซึมไปที่ผิวหนังน้อยมาก เพราะต้องผ่านกระบวนการย่อยอาหาร
ทาคอลลาเจน – เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน มาทำบำรุงผิวเช้า-เย็น เนื่องจากผิวหนังมีหลายชั้น และ คอลลาเจนมีโครงสร้างที่เป็นโปรตีน มีโมเลกุลใหญ่ ทำให้ซึมซับยาก
ฉีดคอลลาเจน – เป็นวิธีการเติมคอลลาเจนให้ผิวที่ได้ประสิทธิภาพ เพราะเข้าสู่ผิวหนังได้โดยตรงเลย ปลอดภัย และไม่เป็นอันตรายกับร่างกาย เห็นผลได้ไวด้วย

เมื่อเทียบกันทั้ง 3 รูปแบบที่กล่าวมา ทางการแพทย์จึงได้คิดค้น Sculptra เพื่อช่วยกระตุ้นคอลลาเจน พร้อมทั้งเรียกคืนคอลลาเจน และนำพาความอ่อนเยาว์กลับมาสู่ผิวหน้าคุณ

การเติม Sculptra เหมาะกับใคร?

สำหรับการเติม Sculptra สามารถเติมได้ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป จะใช้เติมบริเวณใบหน้าที่มีร่องลึก หลักๆ ช่วยแก้ปัญหาผิวหน้า เช่น รอยย่น ริ้วรอยต่างๆ รอยพับ รอยแผลเป็น รวมไปถึงผิวหนังที่เสื่อมสภาพตามวัย ซึ่งเหมาะกับ

  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย และผิวไม่กระชับ
  • ผู้ที่ผิวไม่เต่งตึงเหมือนเดิม ด้วยอายุที่เพิ่มมากขึ้น
  • ผู้ที่ผิวขาดความยืดหยุ่น
  • ผู้ที่กรอบหน้าไม่ชัด
  • เริ่มมีริ้วรอยที่เห็นได้ชัด ซึ่งเกิดขึ้นตามวัย
  • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติอย่างยาวนาน

และไม่เหมาะกับใคร

ผู้ที่ตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรืออายุต่ำกว่า 18 ปี ไม่ควรเติม Sculptra

การเตรียมตัวก่อนเติม Sculptra

  • ผู้ที่ต้องการเติม Sculptra แต่ผิวหนังมีอาการอักเสบ เริม ผื่น สิว หรือลมพิษ ห้ามเติม Sculptra หากมีควรรักษาให้หายก่อนการรักษา
  • ต้องไม่ทำหัตถการอื่นๆ บริเวณใบหน้าก่อนมาเติม Sculptra 2–4 สัปดาห์
  • ผู้ที่ใช้ยากลุ่ม NSAIDS ยาแก้ปวด กลุ่มยาแอสไพริน วิตามิน E น้ำมันปลา ฯลฯ ควรหยุดยาก่อนและหลังเติมอย่างน้อย 2 สัปดาห์
  • ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1-3 วัน ก่อนเติม Sculptra เพื่อให้ผิวได้ฟื้นฟูคอลลาเจนเต็มที่

ขั้นตอนการเติม Sculptra

  1. แพทย์ประเมินผิว ออกแบบการรักษา จำนวนที่ใช้ให้ได้ผลลัพธ์ตรงกับปัญหาผิวของคุณ พร้อมทั้งให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาและการนวดหลังเติม Sculptra
  2. พนักงานทำความสะอาดผิวให้คุณ
  3. แพทย์ผู้ชำนาญการทำการรักษา โดยการเติม Sculptra เป็นวิธีการเดินยาด้วยเข็ม ซึ่งมีการผสมยาชาเทคนิคลดเจ็บเฉพาะของ AES CLASS CLINIC ที่เจ็บน้อยกว่า โดยใช้เวลาประมาณ 45 นาที – 1 ชั่วโมง เวลาขึ้นอยู่กับบริเวณที่รักษาและจำนวนเติม
  4. รักษาเสร็จเรียบร้อย มีการนวดเพื่อให้ Sculptra กระจายทั่วผิวและออกฤทธิ์อย่างเต็มที่
  5. เมื่อแพทย์ทำการรักษาเสร็จ พนักงานจะทำความสะอาดผิว พร้อมทาครีมบำรุงและกันแดดให้คนไข้

เทคนิคการนวดหลังเติม Sculptra เพื่อคงผลลัพธ์ที่ดี

หลังทำ Sculptra จำเป็นต้องใช้เทคนิคการนวด เพราะช่วยให้อนุภาคของ PLLA กระจายตัวทั่วใบหน้า และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราจะใช้หลักการนวด 5 x 5 x 5 คือ 5 นาที 5 ครั้งต่อวัน ติดต่อกัน 5 วัน ซึ่งสามารถนวดตามขั้นตอนง่าย ๆ ในภาพด้านบน 4 ขั้นตอน ดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 – ใช้นิ้วหัวแม่มือกดบริเวณขมับทั้ง 2 ข้าง และใช้กำปั้นค่อยๆ นวดเคลื่อนจากบริเวณหน้าผากไปทางขมับด้านข้าง (ตามภาพ)
ขั้นตอนที่ 2 – ใช้อุ้งมือกดบริเวณช่วงข้างแก้ม แล้วค่อยๆ นวดไล่จากด้านล่างขึ้นไปด้านบนจนถึงโหนกแก้ม ทำซ้ำไปมาหลายๆ ครั้ง เพื่อช่วยกระชับผิวหน้า
ขั้นตอนที่ 3 – ทำมือในลักษณะยกนิ้วหัวแม่มือขึ้น แนบบริเวณแก้มทั้งสองข้าง (ตามภาพ) แล้วค่อยๆ เลื่อนจากหน้าแก้มออกไปบริเวณข้างแก้มพร้อมกัน โดยกดแล้วค่อยๆ เลื่อนอย่างช้าๆ
ขั้นตอนที่ 4 – ทำมือลักษณะเดียวกับขั้นตอนที่ 2 บริเวณดวงตาแล้วค่อยๆ เลื่อนขึ้นไปตามแนวกราม

ผลข้างเคียงหลังฉีด Sculptra

หลังการฉีด Sculptra อาจมีผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย เช่น อาการบวม แดง และเจ็บปวดบริเวณที่ฉีด ซึ่งมักจะหายไปเองภายในไม่กี่วัน บางรายอาจพบรอยฟกช้ำหรือก้อนเล็ก ๆ ใต้ผิวหนังที่สามารถรู้สึกได้เมื่อสัมผัส ซึ่งส่วนใหญ่จะค่อย ๆ สลายไปเองในช่วงเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน อย่างไรก็ตาม หากมีอาการบวมแดงรุนแรง หรือรู้สึกเจ็บปวดมากผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรือปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์จากการฉีด

หลังฉีด Sculptra ควรดูแลตัวเองอย่างไร ?

  • แนะนำให้นวดเบา ๆ ในบริเวณที่ฉีด Sculptra วันละ 5 นาที เป็นเวลา 5 ครั้งต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลา 5 วัน เพื่อช่วยกระจายสารและป้องกันการเกิดก้อนแข็งใต้ผิวหนัง
  • ควรหลีกเลี่ยงการโดนความร้อนโดยตรง เช่น แสงแดดที่แรง ซาวน่า หรือห้องอบไอน้ำ เป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์หลังการฉีด เพื่อป้องกันการระคายเคืองหรืออาการบวม
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก ที่ทำให้เหงื่อออกมาก เพื่อลดความเสี่ยงของการบวมและอาการอักเสบ
  • หากมีอาการบวม แดง หรือรู้สึกไม่สบายบริเวณที่ฉีด แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาลดบวม หรือยาแก้ปวดตามความจำเป็น
  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของกรดหรือสารที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองในบริเวณที่ฉีด อย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • ควรกลับไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผลลัพธ์และปรึกษาเกี่ยวกับการดูแลเพิ่มเติมหากมีปัญหาใด ๆ

หลังฉีด Sculptra กี่วันเห็นผล ?

การฉีด Sculptra มักจะเริ่มเห็นผลลัพธ์เบื้องต้นภายใน 4-6 สัปดาห์หลังการฉีดครั้งแรก แต่ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเต็มที่มักจะปรากฏหลังจากการรักษาครั้งสุดท้ายประมาณ 3-4 เดือน ทั้งนี้ เนื่องจาก Sculptra ทำงานโดยการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในผิว ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้เวลาและค่อยเป็นค่อยไป ผลลัพธ์จาก Sculptra จะค่อย ๆ เห็นได้ชัดเจนขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปและสามารถคงอยู่ได้ยาวนานถึง 2 ปีหรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาและสภาพผิวของแต่ละบุคคล

การคงผลลัพธ์ของ Sculptra ควรเติมกี่ครั้งดี

การเติม Sculptra แต่ละครั้งควรห่างกัน 4-6 สัปดาห์ และการเติมเพื่อรักษาความหย่อนคล้อย แนะนำให้เติม 2-3 Session โดยแพทย์ผู้ชำนาญการจะเป็นผู้ประเมินจำนวนที่เติมให้เหมาะสมเฉพาะบุคคล และต้องกลับมาติดตามผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินการตอบสนองและการกระตุ้นคอลลาเจนของร่างกาย

ผลลัพธ์ Sculptra อยู่ได้นานแค่ไหน ?

Sculptra เป็นการช่วยยกกระชับและกระตุ้นคอลลาเจน ผลลัพธ์อยู่ได้นานต่อเนื่องถึง 25 เดือน

***ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล***

การเติม Sculptra อันตรายไหม

Sculptra ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ US-FDA ให้ใช้ Sculptra ได้ในการรักษาดูแลผิวและความงามมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 และ Sculptra ถือเป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตัวแรกของโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก US-FDA และใช้ในมากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก อีกทั้งยังมีงานวิจัยมากมายว่ามีผู้ใช้พึงพอใจกับผลลัพธ์

การฉีด Sculptra มีข้อควรระวังอะไรบ้าง ?

  • ควรเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์และได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีในการฉีด Sculptra เพื่อป้องกันการฉีดผิดตำแหน่งหรือผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
  • หากมีการติดเชื้อ ผิวหนังอักเสบ หรือมีแผลเปิดในบริเวณที่จะฉีด ควรรอให้หายดีก่อนฉีด Sculptra เพื่อป้องกันการติดเชื้อเพิ่มเติม
  • แจ้งประวัติการแพ้ยา: หากคุณมีประวัติแพ้ยาหรือสารที่ใช้ใน Sculptra ควรแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้า เพื่อป้องกันอาการแพ้หรือปฏิกิริยาทางผิวหนัง
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาหรืออาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน วิตามินอี หรือยาแก้อักเสบ ก่อนการฉีดประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดรอยช้ำหรือเลือดออกง่าย
  • หลังการฉีด Sculptra แพทย์อาจแนะนำให้คุณนวดบริเวณที่ฉีดเบา ๆ ตามที่กล่าวไว้ในขั้นตอนการดูแล แต่ควรระมัดระวังไม่ให้นวดหรือกดแรงเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายของสารที่ฉีด
  • หากมีอาการบวมแดงรุนแรง มีไข้ หรือรู้สึกเจ็บปวดมากผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรือปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์
  • หลีกเลี่ยงการฉีดในบริเวณที่เคยฉีดฟิลเลอร์ชนิดถาวร

วิธีดู Sculptra ว่าเป็นของแท้ดูยังไง ?

สามารถ ตรวจสอบรายชื่อคลินิกที่ให้บริการผลิตภัณฑ์ Sculptra โดยบริษัทกัลเดอร์มา (ประเทศไทย) ได้ที่ www.galdermaaestheticsthailand.com/clinic หรือสามารถตรวจสอบตัวกล่อง Sculptra ว่าเป็นของแท้หรือไม่ เช็กได้จาก 5 วิธีนี้

  1. กล่องแท้ต้องมีสติ๊กเกอร์โมโนแกรมบนกล่อง ไม่ถูกเปิดออก และอยู่ในสภาพสมบูรณ์
  2. มีสัญลักษณ์ลายน้ำรูปตัว S แบบนูนที่หน้ากล่อง
  3. ด้านข้างกล่องมีเลข อย. และเอกสารกำกับการใช้ภาษาไทย
  4. ตัวขวด Sculptra มีลักษณะสุญญากาศ โดยด้านในเป็นผง PLLA แบบ Powder แห้งและไม่มีของเหลวผสม
  5. ด้านข้างกล่องมี QR Code สำหรับให้สแกนเพื่อตรวจสอบผ่านแอปพลิเคชั่น eZTracker (แอปตรวจเช็คผลิตภัณฑ์ความงามว่าแท้หรือปลอม)

ยกกระชับระดับเอสคลาส ที่ AES CLASS CLINIC พร้อมดูแลคุณทั้งรักสวยและรักษาดูแลผิวพรรณ ให้คุณรักตัวเองอย่างมั่นใจขึ้น ด้วยแพทย์เปี่ยมประสบการณ์ และเครื่องมือมาตรฐานระดับ Gold Standard ปรึกษาปัญหาผิวฟรี! ได้ที่ LINE

อัปเดต Sculptra ราคาเท่าไหร่ ?

ราคาของ Sculptra อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถานที่ให้บริการ ขนาดและจำนวนครั้งในการฉีด โดยทั่วไปแล้ว ราคาจะอยู่ในช่วงประมาณ 20,000 ถึง 50,000 บาทต่อครั้ง โดยราคาสามารถแตกต่างได้ตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น ประสบการณ์ของแพทย์ สถานพยาบาล และปริมาณสารที่ใช้

แนะนำให้ปรึกษากับคลินิกหรือสถานพยาบาลเพื่อขอคำแนะนำและประมาณการราคาที่ชัดเจน

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Sculptra

  • Sculptra ราคาเท่าไหร่

    การทำ Sculptra ราคาเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข ซึ่งจะมีแพทย์ผู้ชำนาญการคอยประเมินปัญหาผิว สามารถทักสอบถาม หรือประเมินผิวฟรี โดยแพทย์ผู้ชำนาญ พร้อมออกแบบราคาที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด และพร้อมรับโปรโมชั่นราคาสุดคุ้ม ได้ที่นี่ 

  • Sculptra ดีไหม

    Sculptra มีการใช้งานมาแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ.2009 โดยมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และทางคลินิกที่ได้รับการพิสูจน์มาอย่างยาวนาน พร้อมทั้งมีงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ระดับโลกมากกว่า 50 ฉบับ และมีผู้เติม Sculptra ในหลากหลายประเทศทั่วโลกและมีผลลัพธ์ที่พึงพอใจ

  • Sculptra อันตรายไหม

    Sculptra ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ US-FDA และยังเป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตัวแรกของโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก US-FDA และใช้ในมากกว่า 40 ประเทศทั่วโลกอีกด้วย

  • Sculptra ฉีดตรงไหนได้บ้าง

    สำหรับบริเวณที่ฉีดจะขึ้นอยู่กับแพทย์ผู้ชำนาญการที่ออกแบบการรักษาให้เหมาะกับสภาพผิวแต่ละบุคคล โดยการเติม Sculptra จะเป็นบริเวณใบหน้า ได้แก่ ชั้นผิวหนังแท้ (Deep dermis) และชั้นใต้ผิวหนัง (Subcutaneous) 

  • คอลลาเจนช่วยอะไรได้บ้าง

    คอลลาเจน (Collagen) คือ โปรตีนสายยาวที่เป็นโครงสร้างหลักในเนื้อเยื่อเกี่ยวพันของมนุษย์ เช่น ผิวหนัง เส้นเอ็น และหลอดเลือด และบริเวณผิวหนังจะประกอบไปด้วยคอลลาเจนถึง 75% ทำให้คอลลาเจนมีบทบาทสำคัญในการทำให้เนื้อเยื่อมีความยืดหยุ่น แข็งแรง และช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นให้ผิว

  • Sculptra ควรฉีดกี่ครั้ง

    การเติม Sculptra แต่ละครั้งควรห่างกัน 4-6 สัปดาห์ และการเติมเพื่อรักษาความหย่อนคล้อย แนะนำให้เติม 2-3 Session โดยแพทย์ผู้ชำนาญการจะเป็นผู้ประเมินจำนวนที่เติมให้เหมาะสมเฉพาะบุคคล 

  • ทำไม Sculptra ต้องนวด

    เพื่อช่วยให้อนุภาคสารกระจายตัวไปทั่วใบหน้า กระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผลลัพธ์ดียิ่งขึ้นหลังการทำ Sculptra โดยการนวดจะใช้หลัก 5 x 5 x 5 คือ 5 นาที 5 ครั้งต่อวัน ติดต่อกัน 5 วัน 

  • Sculptra เจ็บไหม

    หากทำที่ AES CLASS CLINIC จะมีแพทย์ผู้ชำนาญการทำการรักษา ก่อนทำการรักษาเราจะมีการผสมยาชาเทคนิคลดเจ็บเฉพาะของ AES CLASS CLINIC ที่เจ็บน้อยกว่า โดยใช้เวลาประมาณ 45 นาที – 1 ชั่วโมง เวลาขึ้นอยู่กับบริเวณที่รักษาและจำนวนเติม

  • Sculptra อ่านว่าอะไร

    Sculptra อ่านว่า สกัลป์ทรา คือ ผลิตภัณฑ์สำหรับเติมและดูแลผิวที่มีส่วนประกอบหลัก คือ อนุภาคของกรด Poly-L-Lactic ( โพลี-แอล-แลกติก ) หรือ PLLA

  • Sculptra อยู่ได้นานแค่ไหน ?

    Sculptra ยกกระชับและกระตุ้นคอลลาเจน ผลลัพธ์อยู่ได้นานต่อเนื่องถึง 25 เดือน
    ***ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล***

Sculptra คือ สารกระตุ้นคอลลาเจนช่วยให้การสร้างคอลลาเจนเกิดขึ้นเองตามกระบวนการธรรมชาติ Sculptra ราคาสุดพิเศษ Sculptra ดีไหม ฉีดคอลลาเจนแบบไหนดี

Sculptra คืออะไร สารกระตุ้นคอลลาเจน ดีไหม
ราคาเท่าไหร่ ทำที่ไหนดี?

เมื่ออายุมากขึ้น ผิวพรรณและความอ่อนเยาว์ก็โรยราลง ดังนั้นสิ่งที่จะเสื่อมตามมานั่นคือคอลลาเจน (Collagen) คอลลาเจนนับว่ามีบทบาทสำคัญที่ช่วยดูแลผิวของเรา ซึ่งคอลลาเจนจะเริ่มลดลงตั้งแต่อายุ 20 ปี และจะลดลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเราอายุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากไม่หาวิธีดูแลรักษาคอลลาเจนที่ดีพอ

และสิ่งที่จะช่วยคงความอ่อนวัย และรักษาคอลลาเจนในร่างกายของเรานั่นคือทรีทเม้นท์ Sculptra เป็นอีกความก้าวหน้าในการยกกระชับและกระตุ้นคอลลาเจน โดยผลลัพธ์คงอยู่ได้ยาวนานถึง 25 เดือน ไม่เป็นอันตรายต่อผิว และร่างกาย อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Sculptra คืออะไร สารกระตุ้นคอลลาเจน ยอดนิยมจริงไหม?

Sculptra คือ อนุภาคของกรด Poly-L-Lactic ( โพลี-แอล-แลกติก ) หรือ PLLA คือสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อยู่ในกลุ่ม Collagen Biostimulator เป็นการเติมตัวยาให้ร่างกายเกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นเองตามกระบวนการธรรมชาติ ช่วยในการกระตุ้น Collagen Type 1 ได้สูงถึง 66.5% ปลอดภัย ไม่ตกค้างในร่างกาย หลังจากการฉีดไป 3 เดือน ทำให้ผิวกระชับ และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ฟื้นฟูผิวจากภายในอย่างล้ำลึก ช่วยย้อนวัยให้ผิวกลับไปดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

“หลังเติมจะเห็นความเปลี่ยนแปลงใน 3 สัปดาห์
เมื่อผ่านไป 3 เดือน คอลลาเจนจะเพิ่มขึ้นถึง +66.5%
ภายใน 12 เดือน ผิวยืดหยุ่นขึ้นและคุณภาพผิวโดยรวมดีขึ้น
ตามการเพิ่มขึ้นของระดับคอลลาเจน โดยผลลัพธ์อยู่นาน 25 เดือน

AES CLASS CLINIC เลือกใช้ Sculptra จาก Galderma

AES CLASS CLINIC เลือกใช้ Sculptra นำเข้าจากประเทศสวีเดน โดย บริษัท Galderma ประเทศไทย ซึ่ง Sculptra เป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตัวแรกของโลก และเป็นตัวเดียวที่ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย ที่ผ่านการรับรอง จาก US FDA ถูกใช้อย่างกว้างขวาง ภายใน 20 ปี ถูกใช้ใน 40 ประเทศทั่วโลก

Sculptra รีวิวจากลูกค้า

ที่ AES CLASS CLINIC มีการอัปเดตแพ็กเกจการทำ Sculptra ราคาสุดคุ้มเป็นประจำ ลูกค้าสามารถเลือก
แพ็กเกจการทำทรีทเม้นท์ผิวหน้าในราคาที่เหมาะสมกับปัญหาสุขภาพผิวได้เลย!

Sculptra

ที่ AES CLASS Clinic (เอสคลาสคลินิก)

ปรึกษาฟรี! พร้อมออกแบบการรักษาที่เหมาะกับคุณ

เพียงเพิ่มเพื่อนผ่านไลน์ และพิมพ์ “Sculptra”

Sculptra ช่วยอะไร ?

  • ช่วยฟื้นฟูและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึก ทำให้ผิวแน่นกระชับขึ้น
  • ลดความหย่อนคล้อยและริ้วรอย
  • ช่วยเติมเต็มความอิ่มฟูของใบหน้า ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
  • ช่วยปรับโครงหน้าให้เรียบเนียนและยกกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติในระยะยาว

หลักการทำงานของ Sculptra (สกัลป์ทรา)

การเติม Sculptra เข้าสู่ร่างกายจะถูกเติมเข้าสู่ผิวชั้นลึกใต้ผิวหนัง (Subcutaneous) ซึ่งผิวจะดูเติมเต็มขึ้นตั้งแต่หลังเติมเสร็จ หลังจากนั้น 2-3 วัน ส่วนประกอบต่างๆ จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และ Sculptra จะเริ่มกระตุ้นผ่านระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยดึงเซลล์ Macrophages มาล้อมรอบอนุภาค Sculptra จำนวนมาก และมีการส่งสัญญาณให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) เซลล์ต้นกำเนิดที่สร้างเส้นใยคอลลาเจน และเป็นส่วนประกอบหลักของโครงสร้างผิวหนัง เข้ามารวมตัวกันมากขึ้น จึงทำให้ผิวมีความแข็งแรงและยกกระชับโดยบริเวณที่เหมาะกับการเติม Sculptra จะเป็นบริเวณใบหน้า ได้แก่ ชั้นผิวหนังแท้ (Deep dermis) และชั้นใต้ผิวหนัง (Subcutaneous)

เมื่อเวลาผ่านไปอนุภาคของ Sculptra จะค่อยๆ หายไปเหลือเพียงเส้นใยคอลลาเจนที่มาสะสมแทนที่ และฟื้นฟูความแข็งแรงให้กับโครงสร้างของผิวหนังในระยะยาว

การเติม Sculptra เข้าสู่ร่างกายจะถูกเติมเข้าสู่ผิวชั้นลึกใต้ผิวหนัง (Subcutaneous) ซึ่งผิวจะดูเติมเต็มขึ้นตั้งแต่หลังเติมเสร็จ หลังจากนั้น 2-3 วัน ส่วนประกอบต่างๆ จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และ Sculptra จะเริ่มกระตุ้นผ่านระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยดึงเซลล์ Macrophages มาล้อมรอบอนุภาค Sculptra จำนวนมาก และมีการส่งสัญญาณให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) เซลล์ต้นกำเนิดที่สร้างเส้นใยคอลลาเจน และเป็นส่วนประกอบหลักของโครงสร้างผิวหนัง เข้ามารวมตัวกันมากขึ้น จึงทำให้ผิวมีความแข็งแรงและยกกระชับโดยบริเวณที่เหมาะกับการเติม Sculptra จะเป็นบริเวณใบหน้า ได้แก่ ชั้นผิวหนังแท้ (Deep dermis) และชั้นใต้ผิวหนัง (Subcutaneous)

ความแตกต่างระหว่าง Sculptra กับวิธีอื่น ๆ 

Sculptra เป็นเทคนิคการฟื้นฟูผิวที่มีความแตกต่างจากวิธีอื่น ๆ อย่างเด่นชัด เนื่องจาก Sculptra ไม่ใช่สารเติมเต็มแบบปกติที่ฉีดเข้าไปเพื่อเพิ่มปริมาณหรือเติมเต็มพื้นที่ผิวที่หย่อนคล้อยทันที แต่ Sculptra ทำงานโดยการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในผิวหนังอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ผลลัพธ์มีความเป็นธรรมชาติและยาวนานกว่า การฟื้นฟูที่เกิดขึ้นจาก Sculptra มักจะใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนกว่าจะเห็นผลชัดเจน ซึ่งแตกต่างจากสารเติมเต็มทั่วไปที่ให้ผลลัพธ์ในทันที นอกจากนี้ Sculptra ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงโครงสร้างผิวในระยะยาวและต้องการผลลัพธ์ที่ไม่ดูเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ฉับพลันมากนัก ทำให้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นธรรมชาติและความยั่งยืนในระยะยาว

Sculptra กับ ฟิลเลอร์ มีความต่างกันอย่างไร ?

Sculptra และฟิลเลอร์ต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งการทำงานและผลลัพธ์ที่ได้ ฟิลเลอร์ เป็นสารที่ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อเติมเต็มร่องลึกหรือเพิ่มปริมาตรในทันที เช่น ริ้วรอย ร่องแก้ม หรือเพิ่มความอิ่มเอิบให้กับริมฝีปาก ผลลัพธ์จากฟิลเลอร์จะเห็นได้ชัดเจนทันทีหลังฉีด และผลลัพธ์จะคงอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนที่สารจะถูกดูดซึมหรือสลายไป

ในทางกลับกัน Sculptra ไม่ใช่ฟิลเลอร์แบบที่เติมเต็มในทันที แต่เป็นสารที่กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนตามธรรมชาติของร่างกาย เมื่อฉีด Sculptra เข้าไปใต้ผิว มันจะค่อย ๆ กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผิวหนังมีความหนาแน่นและยืดหยุ่นมากขึ้น กระบวนการนี้ใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนในการแสดงผลลัพธ์ที่ชัดเจน และผลลัพธ์จะมีความยาวนานกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป เนื่องจากเป็นการฟื้นฟูจากภายใน

ดังนั้น ความแตกต่างหลักคือ ฟิลเลอร์ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วในทันที แต่จะคงอยู่ในระยะเวลาสั้นกว่า ส่วน Sculptra จะใช้เวลานานกว่าในการเห็นผล แต่ผลลัพธ์จะดูเป็นธรรมชาติและคงอยู่ได้นานกว่า เนื่องจากเป็นการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนของร่างกายเอง

Sculptra กับ เมโสหน้าใส มีความต่างกันอย่างไร ?

เมโสหน้าใส (Mesotherapy) เป็นการฉีดสารอาหาร วิตามิน หรือสารที่มีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิวโดยตรงเข้าสู่ผิวหนังชั้นกลาง เพื่อให้ผิวหน้าดูสดใส เปล่งปลั่ง และชุ่มชื้นในทันทีหลังจากการรักษา การทำเมโสหน้าใสมักจะให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว แต่ผลลัพธ์จะอยู่ในระยะเวลาที่สั้นกว่าการใช้ Sculptra และมักต้องทำซ้ำอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาความสว่างใสของผิว

แต่ Sculptra เป็นการฉีดสารที่ออกฤทธิ์ในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนภายในผิวหนัง ทำให้ผิวดูเต่งตึงและยืดหยุ่นมากขึ้นในระยะยาว และเป็นวิธีทำให้หน้าใสอีกวิธีหนึ่งที่คงผลลัพธ์ได้นาน ช่วยลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า ซึ่งสามารถทำควบคู่กับเมโสหน้าใสได้

Sculptra กับ Rejuran มีความต่างกันอย่างไร ?

Rejuran เป็นการฉีดสารโพลีดีออกซีไรโบนิวคลีโอไทด์ (Polydeoxyribonucleotide หรือ PDRN) ซึ่งสกัดจาก DNA ของปลาแซลมอน Rejuran มีจุดเด่นในการซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสียหาย กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ และเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวหนัง ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และมีสุขภาพดีขึ้น ผลลัพธ์จาก Rejuran มักจะเห็นผลเร็วกว่า Sculptra และเหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาผิวที่ต้องการการฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว เช่น ริ้วรอยบาง ๆ หรือความหย่อนคล้อยของผิว

แต่ Sculptra เป็นการฉีดสารโพลีแอลแลคติกแอซิด (Poly-L-lactic acid) ซึ่งทำหน้าที่กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนตามธรรมชาติของร่างกาย และมีโอกาสแพ้น้อย เมื่อฉีดเข้าไปใต้ผิวหนัง สารนี้จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นและความยืดหยุ่นของผิว ส่งผลให้ผิวดูเต่งตึงและเรียบเนียนมากขึ้น

Sculptra กับ Gouri มีความต่างกันอย่างไร ?

Sculptra และ Gouri เป็นเทคนิคการฟื้นฟูผิวที่ได้รับความนิยม แต่มีความแตกต่างกันที่ Sculptra ที่เป็นสาร PLLA ที่มาในรูปแบบผงและต้องนำไปละลายก่อนฉีด

Sculptra และ Gouri ต่างเป็นวิธีการที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูผิวโดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แต่ Sculptra ใช้สารโพลีแอลแลคติกแอซิดและให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่า ในขณะที่ Gouri ใช้สารโพลีแคพโรแลคโตน ซึ่งสามารถกระจายตัวได้ทั่วผิวหนังและให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและสม่ำเสมอมากขึ้น แต่ผลลัพธ์อาจอยู่ในระยะเวลาที่สั้นกว่า Sculptra

Sculptra กับ Exosome มีความต่างกันอย่างไร ?

Exosome เป็นวิธีการฟื้นฟูผิวที่ใช้เทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง โดย Exosomes เป็นอนุภาคขนาดเล็กที่ปล่อยออกมาจากเซลล์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสื่อสารระหว่างเซลล์ และเป็นตัวกลางในการส่งสารสำคัญ เช่น โปรตีนและกรดนิวคลีอิก ไปยังเซลล์อื่นๆ เพื่อกระตุ้นการซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ผิว เมื่อใช้ Exosomes ในการฟื้นฟูผิว มันจะช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหาย ลดการอักเสบ และกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ สดใส และมีสุขภาพดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ผลลัพธ์จาก Exosomes มักจะเห็นผลได้เร็วกว่า แต่ยังขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลและอาจต้องทำซ้ำเพื่อรักษาผลลัพธ์

ส่วน Sculptra เน้นการบำรุงในชั้นผิวลึก ช่วยให้ผิวแน่นกระชับ ลดความหย่อนคล้อย และทำให้ใบหน้าดูเต็มอิ่ม ยกกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

งานวิจัยและความพึงพอใจหลังเติม Sculptra

ผลลัพธ์หลังเติม Sculptra จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และทางคลินิกได้รับการพิสูจน์มาอย่างยาวนาน โดยมีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ระดับโลกมากกว่า 50 ฉบับ และมีผู้เติม Sculptra ทั่วโลก ซึ่งหลังเติม Sculptra ได้รับความพึงพอใจในระดับสูง 25 เดือนจากผู้ใช้จริง ดังนี้

  • 9 ใน 10 ราย พึงพอใจในผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
  • 8 ใน 10 ราย รู้สึกว่าการรักษามีความคุ้มค่า
  • 9 ใน 10 ราย แนะนำ Sculptra ให้เพื่อนลองทำ

งานวิจัยและความพึงพอใจหลังเติม Sculptra

สำหรับ Sculptra คือ อนุภาคของ PLLA ( Poly-L-Lactic ) ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม Collagen Biostimulation ช่วยเติมตัวยาให้ร่างกายเกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นเองตามธรรมชาติ ช่วยให้ผิวหน้ายกกระชับ ผิวแน่น อิ่มฟู ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 25 เดือน ทั้งนี้ข้อแตกต่างจากทรีทเม้นท์งานผิวอื่นๆ มีดังนี้

Morpheus8

Morpheus8 เป็นเทคโนโลยีฟูผิว ใช้คลื่น RF ผ่าน Gold Coated Micropins ช่วยให้ผิวฟูใส กระชับเรียบเนียน โดยไม่ต้องผ่าตัด ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1 ปี

Rejuran

Rejuran เป็นนวัตกรรมผิวโกลว์ใส จาก DNA ปลาแซลมอนธรรมชาติ ได้มาตรฐานจาก KFDA จากประเทศเกาหลีใต้ ช่วยแก้ปัญหาผิวไม่ละเอียด รูขุมขนกว้าง ผิวบอบบางหรือแพ้ง่าย มีรอยแดงและรอยคล้ำ ผิวไม่สดใส ผิวแห้งขาดความชุ่มชื้นให้ผิวแลดูสุขภาพดี ผิวสดใสเปล่งปลั่งจากภายใน โดยผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6 เดือน

Rejuran

หรือโปรแกรมฟิลเลอร์ คือ ประกอบไปด้วยสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic acid และ Glycerol ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มฟู โดยผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-9 เดือน

คอลลาเจนคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร ?

คอลลาเจน (Collagen) คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่พบมากในร่างกายมนุษย์ โดยเฉพาะในผิวหนัง กระดูก กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และเนื้อเยื่อต่าง ๆ คอลลาเจนทำหน้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของเนื้อเยื่อ ช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น แข็งแรง และเรียบเนียน นอกจากนี้ยังช่วยในการฟื้นฟูเซลล์และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอในร่างกาย

โดยคอลลาเจนแบ่งออกเป็น 5 ชนิดหลัก ๆ ตามหน้าที่และแหล่งที่พบในร่างกายดังนี้

  • คอลลาเจนชนิดที่ 1 (Type I Collagen) คอลลาเจนชนิดนี้เป็นชนิดที่พบมากที่สุดในร่างกายมนุษย์ คิดเป็นประมาณ 90% ของคอลลาเจนทั้งหมด พบมากในผิวหนัง กระดูก เส้นเอ็น และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของผิวหนัง ช่วยในการสมานแผลและลดริ้วรอย
  • คอลลาเจนชนิดที่ 2 (Type II Collagen) พบมากในกระดูกอ่อน ซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบหลักของกระดูกอ่อนและข้อต่อ ช่วยลดการเสียดสีของข้อต่อ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคข้อเสื่อมและอาการปวดข้อต่อ
  • คอลลาเจนชนิดที่ 3 (Type III Collagen) พบมากในผิวหนัง หลอดเลือด และอวัยวะภายในต่าง ๆ คอลลาเจนชนิดนี้มีส่วนช่วยในการบำรุงรักษาและฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง เช่น ผิวหนังและหลอดเลือด
  • คอลลาเจนชนิดที่ 4 (Type IV Collagen) พบมากในเนื้อเยื่อพื้นฐานที่อยู่ระหว่างชั้นของเซลล์และเนื้อเยื่อ เช่น ชั้นฐานของผิวหนัง (Basement membrane) คอลลาเจนชนิดนี้มีบทบาทสำคัญในการกรองสารอาหารและสารต่าง ๆ ที่เข้าสู่เนื้อเยื่อ
  • คอลลาเจนชนิดที่ 5 (Type V Collagen) พบในพื้นฐานของเซลล์ (Cell membrane) และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนโครงสร้างของเนื้อเยื่อและการสร้างเส้นใยคอลลาเจนชนิดที่ 1 และ 3 ซึ่งช่วยในการเสริมความแข็งแรงของผิวหนัง เส้นผม และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันอื่น ๆ

 

ทำไมเราต้อง เติมคอลลาเจน ให้ผิว?

สาเหตุที่เราต้องเติมคอลลาเจนให้ผิว เพราะคอลลาเจนเป็นหนึ่งในโปรตีนที่มีปริมาณมากที่สุดในร่างกาย คอลลาเจนสร้างขึ้นจากเซลล์ ‘ ไฟโบรบลาสต์ ’ ( Fibroblast ) มีความสำคัญต่อผิวในการช่วยคงความอ่อนเยาว์ เมื่อเราอายุ 20 ปีขึ้นไป ระดับคอลลาเจนในผิวจะเสื่อมสภาพ ความหนาแน่นของคอลลาเจนในผิวจะลดลง และการสร้างคอลลาเจนใหม่ทดแทนคอลลาเจนที่สูญเสียไปก็น้อยลงด้วย ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าคอลลาเจนในผิวของเราจะลดลงอย่างต่อเนื่องประมาณ 1% ต่อปี ตัวอย่างเช่น

  • เมื่ออายุ 35 ปี ผิวสูญเสียคอลลาเจนสูงถึง 15%
  • เมื่ออายุ 45 ปี ผิวสูญเสียคอลลาเจนสูงถึง 25%
  • เมื่ออายุ 55 ปี ผิวสูญเสียคอลลาเจนสูงถึง 35%

วิธีการเติมคอลลาเจนให้ผิว มีแบบไหนบ้าง

กินคอลลาเจน – วิธีมาตรฐานทั่วไป เพราะง่ายและสะดวก แต่คอลลาเจนจะถูกดูดซึมไปที่ผิวหนังน้อยมาก เพราะต้องผ่านกระบวนการย่อยอาหาร
ทาคอลลาเจน – เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน มาทำบำรุงผิวเช้า-เย็น เนื่องจากผิวหนังมีหลายชั้น และ คอลลาเจนมีโครงสร้างที่เป็นโปรตีน มีโมเลกุลใหญ่ ทำให้ซึมซับยาก
ฉีดคอลลาเจน – เป็นวิธีการเติมคอลลาเจนให้ผิวที่ได้ประสิทธิภาพ เพราะเข้าสู่ผิวหนังได้โดยตรงเลย ปลอดภัย และไม่เป็นอันตรายกับร่างกาย เห็นผลได้ไวด้วย

เมื่อเทียบกันทั้ง 3 รูปแบบที่กล่าวมา ทางการแพทย์จึงได้คิดค้น Sculptra เพื่อช่วยกระตุ้นคอลลาเจน พร้อมทั้งเรียกคืนคอลลาเจน และนำพาความอ่อนเยาว์กลับมาสู่ผิวหน้าคุณ

การเติม Sculptra เหมาะกับใคร?

สำหรับการเติม Sculptra สามารถเติมได้ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป จะใช้เติมบริเวณใบหน้าที่มีร่องลึก หลักๆ ช่วยแก้ปัญหาผิวหน้า เช่น รอยย่น ริ้วรอยต่างๆ รอยพับ รอยแผลเป็น รวมไปถึงผิวหนังที่เสื่อมสภาพตามวัย ซึ่งเหมาะกับ

  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย และผิวไม่กระชับ
  • ผู้ที่ผิวไม่เต่งตึงเหมือนเดิม ด้วยอายุที่เพิ่มมากขึ้น
  • ผู้ที่ผิวขาดความยืดหยุ่น
  • ผู้ที่กรอบหน้าไม่ชัด
  • เริ่มมีริ้วรอยที่เห็นได้ชัด ซึ่งเกิดขึ้นตามวัย
  • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติอย่างยาวนาน

และไม่เหมาะกับใคร

ผู้ที่ตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรืออายุต่ำกว่า 18 ปี ไม่ควรเติม Sculptra

การเตรียมตัวก่อนเติม Sculptra

  • ผู้ที่ต้องการเติม Sculptra แต่ผิวหนังมีอาการอักเสบ เริม ผื่น สิว หรือลมพิษ ห้ามเติม Sculptra หากมีควรรักษาให้หายก่อนการรักษา
  • ต้องไม่ทำหัตถการอื่นๆ บริเวณใบหน้าก่อนมาเติม Sculptra 2–4 สัปดาห์
  • ผู้ที่ใช้ยากลุ่ม NSAIDS ยาแก้ปวด กลุ่มยาแอสไพริน วิตามิน E น้ำมันปลา ฯลฯ ควรหยุดยาก่อนและหลังเติมอย่างน้อย 2 สัปดาห์
  • ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1-3 วัน ก่อนเติม Sculptra เพื่อให้ผิวได้ฟื้นฟูคอลลาเจนเต็มที่

ขั้นตอนการเติม Sculptra

  1. แพทย์ประเมินผิว ออกแบบการรักษา จำนวนที่ใช้ให้ได้ผลลัพธ์ตรงกับปัญหาผิวของคุณ พร้อมทั้งให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาและการนวดหลังเติม Sculptra
  2. พนักงานทำความสะอาดผิวให้คุณ
  3. แพทย์ผู้ชำนาญการทำการรักษา โดยการเติม Sculptra เป็นวิธีการเดินยาด้วยเข็ม ซึ่งมีการผสมยาชาเทคนิคลดเจ็บเฉพาะของ AES CLASS CLINIC ที่เจ็บน้อยกว่า โดยใช้เวลาประมาณ 45 นาที – 1 ชั่วโมง เวลาขึ้นอยู่กับบริเวณที่รักษาและจำนวนเติม
  4. รักษาเสร็จเรียบร้อย มีการนวดเพื่อให้ Sculptra กระจายทั่วผิวและออกฤทธิ์อย่างเต็มที่
  5. เมื่อแพทย์ทำการรักษาเสร็จ พนักงานจะทำความสะอาดผิว พร้อมทาครีมบำรุงและกันแดดให้คนไข้

เทคนิคการนวดหลังเติม Sculptra เพื่อคงผลลัพธ์ที่ดี

หลังทำ Sculptra จำเป็นต้องใช้เทคนิคการนวด เพราะช่วยให้อนุภาคของ PLLA กระจายตัวทั่วใบหน้า และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราจะใช้หลักการนวด 5 x 5 x 5 คือ 5 นาที 5 ครั้งต่อวัน ติดต่อกัน 5 วัน ซึ่งสามารถนวดตามขั้นตอนง่าย ๆ ในภาพด้านบน 4 ขั้นตอน ดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 – ใช้นิ้วหัวแม่มือกดบริเวณขมับทั้ง 2 ข้าง และใช้กำปั้นค่อยๆ นวดเคลื่อนจากบริเวณหน้าผากไปทางขมับด้านข้าง (ตามภาพ)
ขั้นตอนที่ 2 – ใช้อุ้งมือกดบริเวณช่วงข้างแก้ม แล้วค่อยๆ นวดไล่จากด้านล่างขึ้นไปด้านบนจนถึงโหนกแก้ม ทำซ้ำไปมาหลายๆ ครั้ง เพื่อช่วยกระชับผิวหน้า
ขั้นตอนที่ 3 – ทำมือในลักษณะยกนิ้วหัวแม่มือขึ้น แนบบริเวณแก้มทั้งสองข้าง (ตามภาพ) แล้วค่อยๆ เลื่อนจากหน้าแก้มออกไปบริเวณข้างแก้มพร้อมกัน โดยกดแล้วค่อยๆ เลื่อนอย่างช้าๆ
ขั้นตอนที่ 4 – ทำมือลักษณะเดียวกับขั้นตอนที่ 2 บริเวณดวงตาแล้วค่อยๆ เลื่อนขึ้นไปตามแนวกราม

ผลข้างเคียงหลังฉีด Sculptra

หลังการฉีด Sculptra อาจมีผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย เช่น อาการบวม แดง และเจ็บปวดบริเวณที่ฉีด ซึ่งมักจะหายไปเองภายในไม่กี่วัน บางรายอาจพบรอยฟกช้ำหรือก้อนเล็ก ๆ ใต้ผิวหนังที่สามารถรู้สึกได้เมื่อสัมผัส ซึ่งส่วนใหญ่จะค่อย ๆ สลายไปเองในช่วงเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน อย่างไรก็ตาม หากมีอาการบวมแดงรุนแรง หรือรู้สึกเจ็บปวดมากผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรือปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์จากการฉีด

หลังฉีด Sculptra ควรดูแลตัวเองอย่างไร ?

  • แนะนำให้นวดเบา ๆ ในบริเวณที่ฉีด Sculptra วันละ 5 นาที เป็นเวลา 5 ครั้งต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลา 5 วัน เพื่อช่วยกระจายสารและป้องกันการเกิดก้อนแข็งใต้ผิวหนัง
  • ควรหลีกเลี่ยงการโดนความร้อนโดยตรง เช่น แสงแดดที่แรง ซาวน่า หรือห้องอบไอน้ำ เป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์หลังการฉีด เพื่อป้องกันการระคายเคืองหรืออาการบวม
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก ที่ทำให้เหงื่อออกมาก เพื่อลดความเสี่ยงของการบวมและอาการอักเสบ
  • หากมีอาการบวม แดง หรือรู้สึกไม่สบายบริเวณที่ฉีด แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาลดบวม หรือยาแก้ปวดตามความจำเป็น
  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของกรดหรือสารที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองในบริเวณที่ฉีด อย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • ควรกลับไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผลลัพธ์และปรึกษาเกี่ยวกับการดูแลเพิ่มเติมหากมีปัญหาใด ๆ

หลังฉีด Sculptra กี่วันเห็นผล ?

การฉีด Sculptra มักจะเริ่มเห็นผลลัพธ์เบื้องต้นภายใน 4-6 สัปดาห์หลังการฉีดครั้งแรก แต่ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเต็มที่มักจะปรากฏหลังจากการรักษาครั้งสุดท้ายประมาณ 3-4 เดือน ทั้งนี้ เนื่องจาก Sculptra ทำงานโดยการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในผิว ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้เวลาและค่อยเป็นค่อยไป ผลลัพธ์จาก Sculptra จะค่อย ๆ เห็นได้ชัดเจนขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปและสามารถคงอยู่ได้ยาวนานถึง 2 ปีหรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาและสภาพผิวของแต่ละบุคคล

การคงผลลัพธ์ของ Sculptra ควรเติมกี่ครั้งดี

การเติม Sculptra แต่ละครั้งควรห่างกัน 4-6 สัปดาห์ และการเติมเพื่อรักษาความหย่อนคล้อย แนะนำให้เติม 2-3 Session โดยแพทย์ผู้ชำนาญการจะเป็นผู้ประเมินจำนวนที่เติมให้เหมาะสมเฉพาะบุคคล และต้องกลับมาติดตามผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินการตอบสนองและการกระตุ้นคอลลาเจนของร่างกาย

ผลลัพธ์ Sculptra อยู่ได้นานแค่ไหน ?

Sculptra เป็นการช่วยยกกระชับและกระตุ้นคอลลาเจน ผลลัพธ์อยู่ได้นานต่อเนื่องถึง 25 เดือน

***ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล***

การเติม Sculptra อันตรายไหม

Sculptra ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ US-FDA ให้ใช้ Sculptra ได้ในการรักษาดูแลผิวและความงามมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 และ Sculptra ถือเป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตัวแรกของโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก US-FDA และใช้ในมากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก อีกทั้งยังมีงานวิจัยมากมายว่ามีผู้ใช้พึงพอใจกับผลลัพธ์

การฉีด Sculptra มีข้อควรระวังอะไรบ้าง ?

  • ควรเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์และได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีในการฉีด Sculptra เพื่อป้องกันการฉีดผิดตำแหน่งหรือผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
  • หากมีการติดเชื้อ ผิวหนังอักเสบ หรือมีแผลเปิดในบริเวณที่จะฉีด ควรรอให้หายดีก่อนฉีด Sculptra เพื่อป้องกันการติดเชื้อเพิ่มเติม
  • แจ้งประวัติการแพ้ยา: หากคุณมีประวัติแพ้ยาหรือสารที่ใช้ใน Sculptra ควรแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้า เพื่อป้องกันอาการแพ้หรือปฏิกิริยาทางผิวหนัง
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาหรืออาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน วิตามินอี หรือยาแก้อักเสบ ก่อนการฉีดประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดรอยช้ำหรือเลือดออกง่าย
  • หลังการฉีด Sculptra แพทย์อาจแนะนำให้คุณนวดบริเวณที่ฉีดเบา ๆ ตามที่กล่าวไว้ในขั้นตอนการดูแล แต่ควรระมัดระวังไม่ให้นวดหรือกดแรงเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายของสารที่ฉีด
  • หากมีอาการบวมแดงรุนแรง มีไข้ หรือรู้สึกเจ็บปวดมากผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรือปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์
  • หลีกเลี่ยงการฉีดในบริเวณที่เคยฉีดฟิลเลอร์ชนิดถาวร

วิธีดู Sculptra ว่าเป็นของแท้ดูยังไง ?

สามารถ ตรวจสอบรายชื่อคลินิกที่ให้บริการผลิตภัณฑ์ Sculptra โดยบริษัทกัลเดอร์มา (ประเทศไทย) ได้ที่ www.galdermaaestheticsthailand.com/clinic หรือสามารถตรวจสอบตัวกล่อง Sculptra ว่าเป็นของแท้หรือไม่ เช็กได้จาก 5 วิธีนี้

  1. กล่องแท้ต้องมีสติ๊กเกอร์โมโนแกรมบนกล่อง ไม่ถูกเปิดออก และอยู่ในสภาพสมบูรณ์
  2. มีสัญลักษณ์ลายน้ำรูปตัว S แบบนูนที่หน้ากล่อง
  3. ด้านข้างกล่องมีเลข อย. และเอกสารกำกับการใช้ภาษาไทย
  4. ตัวขวด Sculptra มีลักษณะสุญญากาศ โดยด้านในเป็นผง PLLA แบบ Powder แห้งและไม่มีของเหลวผสม
  5. ด้านข้างกล่องมี QR Code สำหรับให้สแกนเพื่อตรวจสอบผ่านแอปพลิเคชั่น eZTracker (แอปตรวจเช็คผลิตภัณฑ์ความงามว่าแท้หรือปลอม)

ยกกระชับระดับเอสคลาส ที่ AES CLASS CLINIC พร้อมดูแลคุณทั้งรักสวยและรักษาดูแลผิวพรรณ ให้คุณรักตัวเองอย่างมั่นใจขึ้น ด้วยแพทย์เปี่ยมประสบการณ์ และเครื่องมือมาตรฐานระดับ Gold Standard ปรึกษาปัญหาผิวฟรี! ได้ที่ LINE

อัปเดต Sculptra ราคาเท่าไหร่ ?

ราคาของ Sculptra อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถานที่ให้บริการ ขนาดและจำนวนครั้งในการฉีด โดยทั่วไปแล้ว ราคาจะอยู่ในช่วงประมาณ 20,000 ถึง 50,000 บาทต่อครั้ง โดยราคาสามารถแตกต่างได้ตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น ประสบการณ์ของแพทย์ สถานพยาบาล และปริมาณสารที่ใช้

แนะนำให้ปรึกษากับคลินิกหรือสถานพยาบาลเพื่อขอคำแนะนำและประมาณการราคาที่ชัดเจน

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Sculptra

  • Sculptra ราคาเท่าไหร่

    การทำ Sculptra ราคาเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข ซึ่งจะมีแพทย์ผู้ชำนาญการคอยประเมินปัญหาผิว สามารถทักสอบถาม หรือประเมินผิวฟรี โดยแพทย์ผู้ชำนาญ พร้อมออกแบบราคาที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด และพร้อมรับโปรโมชั่นราคาสุดคุ้ม ได้ที่นี่ 

  • Sculptra ดีไหม

    Sculptra มีการใช้งานมาแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ.2009 โดยมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และทางคลินิกที่ได้รับการพิสูจน์มาอย่างยาวนาน พร้อมทั้งมีงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ระดับโลกมากกว่า 50 ฉบับ และมีผู้เติม Sculptra ในหลากหลายประเทศทั่วโลกและมีผลลัพธ์ที่พึงพอใจ

  • Sculptra อันตรายไหม

    Sculptra ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ US-FDA และยังเป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตัวแรกของโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก US-FDA และใช้ในมากกว่า 40 ประเทศทั่วโลกอีกด้วย

  • Sculptra ฉีดตรงไหนได้บ้าง

    สำหรับบริเวณที่ฉีดจะขึ้นอยู่กับแพทย์ผู้ชำนาญการที่ออกแบบการรักษาให้เหมาะกับสภาพผิวแต่ละบุคคล โดยการเติม Sculptra จะเป็นบริเวณใบหน้า ได้แก่ ชั้นผิวหนังแท้ (Deep dermis) และชั้นใต้ผิวหนัง (Subcutaneous) 

  • คอลลาเจนช่วยอะไรได้บ้าง

    คอลลาเจน (Collagen) คือ โปรตีนสายยาวที่เป็นโครงสร้างหลักในเนื้อเยื่อเกี่ยวพันของมนุษย์ เช่น ผิวหนัง เส้นเอ็น และหลอดเลือด และบริเวณผิวหนังจะประกอบไปด้วยคอลลาเจนถึง 75% ทำให้คอลลาเจนมีบทบาทสำคัญในการทำให้เนื้อเยื่อมีความยืดหยุ่น แข็งแรง และช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นให้ผิว

  • Sculptra ควรฉีดกี่ครั้ง

    การเติม Sculptra แต่ละครั้งควรห่างกัน 4-6 สัปดาห์ และการเติมเพื่อรักษาความหย่อนคล้อย แนะนำให้เติม 2-3 Session โดยแพทย์ผู้ชำนาญการจะเป็นผู้ประเมินจำนวนที่เติมให้เหมาะสมเฉพาะบุคคล 

  • ทำไม Sculptra ต้องนวด

    เพื่อช่วยให้อนุภาคสารกระจายตัวไปทั่วใบหน้า กระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผลลัพธ์ดียิ่งขึ้นหลังการทำ Sculptra โดยการนวดจะใช้หลัก 5 x 5 x 5 คือ 5 นาที 5 ครั้งต่อวัน ติดต่อกัน 5 วัน 

  • Sculptra เจ็บไหม

    หากทำที่ AES CLASS CLINIC จะมีแพทย์ผู้ชำนาญการทำการรักษา ก่อนทำการรักษาเราจะมีการผสมยาชาเทคนิคลดเจ็บเฉพาะของ AES CLASS CLINIC ที่เจ็บน้อยกว่า โดยใช้เวลาประมาณ 45 นาที – 1 ชั่วโมง เวลาขึ้นอยู่กับบริเวณที่รักษาและจำนวนเติม

  • Sculptra อ่านว่าอะไร

    Sculptra อ่านว่า สกัลป์ทรา คือ ผลิตภัณฑ์สำหรับเติมและดูแลผิวที่มีส่วนประกอบหลัก คือ อนุภาคของกรด Poly-L-Lactic ( โพลี-แอล-แลกติก ) หรือ PLLA

  • Sculptra อยู่ได้นานแค่ไหน ?

    Sculptra ยกกระชับและกระตุ้นคอลลาเจน ผลลัพธ์อยู่ได้นานต่อเนื่องถึง 25 เดือน
    ***ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล***

Before & After

แพทย์มากประสบการณ์

ดูแพทย์ทั้งหมด

รีวิว

เกศิณี ปิ่นเจริญ (ฟลอเรนซ์)

พออายุเยอะขึ้น มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย มีเหนียง และกรอบหน้าไม่ชัด ทางแก้ที่คุณหมอแนะนำคือ ทำ Ultherapy หลังทำว้าวมากค่ะ ส่องกระจกและจับผิวดูรู้สึกเลยว่าผิวแน่นกระชับขึ้น กรอบหน้าชัด และเหนียงลดลงตั้งแต่หลังทำ แถมยังใช้เวลาทำไม่นานก็ไปทำงานต่อได้เลย พอใจมากค่ะ
Thermage Body
Thermage Eye
Coolsculpting
Sculptra
Ulthera
Thermage FLX

ธาริกา อัยรารัตน์ (หนิง)

หนิงเคยทำศัลยกรรมผ่าไขมันใต้กระพุ้งแก้ม แต่รู้สึกว่าแก้มไม่กระชับกลับขึ้นไป ทำให้มีปัญหาแก้มห้อย ผิวหน้าไม่กระชับ หย่อนคล้อย เริ่มมีริ้วรอยบริเวณหน้าผาก และมีร่องน้ำหมากที่เห็นได้ชัด หนิงสนใจอยากทำเทอร์มาจ ซึ่งศึกษาข้อมูลมาแล้วว่าเหมาะกับปัญหาที่มี เลยมาปรึกษาคุณหมอที่พงศ์ศักดิ์คลินิก ทำแล้วผลลัพธ์ดี ผิวกระชับขึ้นตั้งแต่หลังทำและแก้ปัญหาได้ตรงจุดที่มีเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ
Snoreless
Hifu
Thermage Body
Thermage Eye
Sculptra
Ulthera
Thermage FLX

อรวรรณ พันธ์เจริญ (เจี๊ยบ)

รู้สึกกังวลปัญหาแก้ม เหนียง และหน้าไม่เรียว จึงปรึกษาคุณหมอแนะนำทำ Therma FLX หลังทำยิ้มเลยค่ะ หน้าเรียวขึ้น แก้มลดลง เหนียงหายไป กรอบหน้าชัดขึ้น เทอร์มาจนี่แหละคือคำตอบในการเก็บเหนียงที่เหมาะกับเรา
Thermage Body
Thermage Eye
Sculptra
ฟิลเลอร์ปาก
Radiesse Plus
Ulthera
Thermage FLX

ธนิดา กนกเลิศวงศ์ (ป้อ)

เลือกทำ Ultherapy SPT เพราะช่วยยกกระชับผิวชั้นลึก เพื่อไม่ให้ผิวหย่อนคล้อยตามกาลเวลา และผลลัพธ์อยู่ได้นานเป็นปี คุณหมอก็เน้นจุดที่มีปัญหาให้เยอะเป็นพิเศษตามปัญหาของแต่ละคน ผลลัพธ์เลยออกมาดีมาก เห็นว่าผิวแน่นและกรอบหน้าชัดขึ้นเลยตั้งแต่หลังทำ
ฟิลเลอร์คาง
Thermage Body
Thermage Eye
Sculptra
Ulthera
Thermage FLX

เกศิณี ปิ่นเจริญ (ฟลอเรนซ์)

พออายุเยอะขึ้น มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย มีเหนียง และกรอบหน้าไม่ชัด ทางแก้ที่คุณหมอแนะนำคือ ทำ Ultherapy หลังทำว้าวมากค่ะ ส่องกระจกและจับผิวดูรู้สึกเลยว่าผิวแน่นกระชับขึ้น กรอบหน้าชัด และเหนียงลดลงตั้งแต่หลังทำ แถมยังใช้เวลาทำไม่นานก็ไปทำงานต่อได้เลย พอใจมากค่ะ
Thermage Body
Thermage Eye
Coolsculpting
Sculptra
Ulthera
Thermage FLX

ธาริกา อัยรารัตน์ (หนิง)

หนิงเคยทำศัลยกรรมผ่าไขมันใต้กระพุ้งแก้ม แต่รู้สึกว่าแก้มไม่กระชับกลับขึ้นไป ทำให้มีปัญหาแก้มห้อย ผิวหน้าไม่กระชับ หย่อนคล้อย เริ่มมีริ้วรอยบริเวณหน้าผาก และมีร่องน้ำหมากที่เห็นได้ชัด หนิงสนใจอยากทำเทอร์มาจ ซึ่งศึกษาข้อมูลมาแล้วว่าเหมาะกับปัญหาที่มี เลยมาปรึกษาคุณหมอที่พงศ์ศักดิ์คลินิก ทำแล้วผลลัพธ์ดี ผิวกระชับขึ้นตั้งแต่หลังทำและแก้ปัญหาได้ตรงจุดที่มีเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ
Snoreless
Hifu
Thermage Body
Thermage Eye
Sculptra
Ulthera
Thermage FLX

อรวรรณ พันธ์เจริญ (เจี๊ยบ)

รู้สึกกังวลปัญหาแก้ม เหนียง และหน้าไม่เรียว จึงปรึกษาคุณหมอแนะนำทำ Therma FLX หลังทำยิ้มเลยค่ะ หน้าเรียวขึ้น แก้มลดลง เหนียงหายไป กรอบหน้าชัดขึ้น เทอร์มาจนี่แหละคือคำตอบในการเก็บเหนียงที่เหมาะกับเรา
Thermage Body
Thermage Eye
Sculptra
ฟิลเลอร์ปาก
Radiesse Plus
Ulthera
Thermage FLX

ธนิดา กนกเลิศวงศ์ (ป้อ)

เลือกทำ Ultherapy SPT เพราะช่วยยกกระชับผิวชั้นลึก เพื่อไม่ให้ผิวหย่อนคล้อยตามกาลเวลา และผลลัพธ์อยู่ได้นานเป็นปี คุณหมอก็เน้นจุดที่มีปัญหาให้เยอะเป็นพิเศษตามปัญหาของแต่ละคน ผลลัพธ์เลยออกมาดีมาก เห็นว่าผิวแน่นและกรอบหน้าชัดขึ้นเลยตั้งแต่หลังทำ
ฟิลเลอร์คาง
Thermage Body
Thermage Eye
Sculptra
Ulthera
Thermage FLX
ดูรีวิวเพิ่มเติม

Promotions